วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

chapter 19 & chapter 20




Chapter 19

“พักเบรคสิบห้านาทีครับนักศึกษา” เสียงสวรรค์ของอาจารย์ประจำวิชาดังขึ้นปุ๊บ ผมก็ไถตัวไปสิงแจฮยอนทันที เสื้อกันหนาวแขนยาวตัวใหญ่ของแจฮยอนคลุมลงมาที่หัวของผมพร้อมกับที่ผมซุกหน้าลงอกแกร่ง

โคตรอุ่น ฮื่อออ

“อ้อนแบบนี้เมื่อคืนไม่ยอมนอนอีกแล้วใช่มั้ยหึ๊” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือหัวก่อนที่เสียงของยองแจจะเป็นคนตอบคำถาม

เพราะช่วงนี้มันใกล้สอบแล้ว อาจารย์หลายๆวิชาก็เหมือนจะนัดกันสั่งงานขึ้นมาทันที ผมนี่นั่งทำตาเหลือกทั้งวันทั้งคืนบวกกับต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือด้วย สรุปก็เลยได้นอนวันหนึ่งไม่ถึงหกชั่วโมง

“แล้ววันนี้ไปหาพี่ชายที่โรงพยาบาลมั้ย”

“ไม่ไปอะ”

“งั้นเลิกเรียนแล้วเดี๋ยวเจมส์ไปส่งหอนอน”

“ไม่อยากนอน” ผมว่าพลางเงยหน้าขึ้นมองแฟนปลอมๆอย่างแจฮยอน

แจฮยอนอมยิ้มนิดๆก่อนจะยกมือขึ้นบิดจมูกผมเบาๆ “แล้วอยากไปไหน”

“อยากไปกินข้าวเย็นกับโดยอง พาไปหน่อยย”

“พากันเล่นซนเราตีเลยนะ”

“ไม่ซนดิ อยากกินข้าวด้วยจริง ๆ”

“โอเคๆ พาไปก็ได้ครับ”

เมื่อได้คำตอบที่พอใจผมก็ยิ้มกว้าง กอดรัดแจฮยอนแน่นๆทีหนึ่งแล้วกลับมาซุกอกเหมือนเดิม หลับตาลงเตรียมพักสายตาเพราะเราต้องใช้สิบห้านาทีที่ได้มาให้คุ้มค่า

“เหอะ กูโดนตบมาแล้วยังต้องกลัวอะไรอีกล่ะ” เสียงบ่นของคนข้างๆอย่างจินยองดังขึ้นให้ผมรู้สึกตัว ความสัมพันธ์ตอนนี้ของผมสามคนเรียกว่าไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่ช่วงที่คลิปหลุดของผมออกมา ผมก็ยังไม่ได้คุยกับจินยองเลย มันเองก็ดูเหมือนจะไม่อยากคุยกับผมด้วย

เรื่องราวที่ยองแจมันเล่าให้ผมฟังย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ในช่วงที่ผมหยุดเรียนไปก็มีแค่จินยองกับยองแจเท่านั้นที่มาเรียน ยองแจเล่าให้ผมฟังว่าช่วงนั้นจินยองเหมือนคนบ้า หงุดหงิดตลอดเวลาแถมหน้ายังไปได้แผลมาอีก มันบอกเหมือนจินยองโดนตบมา ผมก็ไม่รู้นะ ไม่เห็นนี่

“แจฮยอน แบมมันหลับอยู่มั้ยอะ” เสียงจินยองถามแจฮยอน

“น่าจะหลับนะครับ ทำไมเหรอ”

“ช่วงนี้มันได้คุยกับใครเป็นพิเศษมั้ยอะ”

“จะคุยกับใครเหรอครับ แบมคบอยู่กับเรานี่”

“แล้วแจฮยอนคิดว่าคนคบกันไปเอากับคนอื่นได้นี่ดีมั้ยอะ”

ผมตัวแข็งทื่อ ลืมไปว่าจินยองมันรู้แล้วว่าผมกับพี่มาร์คเล่นชู้กัน ผมเดาว่ามันอาจจะคิดว่าแจฮยอนกำลังโดนผมสวมเขาอยู่ตอนนี้

แต่แล้วสัมผัสที่หัวก็ทำให้ผมลดอาการเกร็งลงไปได้

“อืม…มันก็อาจจะไม่ได้นะครับ แต่จินยองก็ทำเหมือนกันนี่”

“…”

“ลองถามตัวเองดูมั้ยครับ”

ผมยกยิ้มมุมปากอยู่กับอกของแจฮยอน บอกเลยนะว่าถ้าจะมามีเรื่องกับแฟนปลอมๆของผมนี่ขอให้กลับไปคิดใหม่

“เราไม่ได้อยากทำ ถ้าแฟนเราไม่ทำก่อน” โอ๊ะ เสียงแข็งแล้วครับ

“อยากทำหรือไม่อยากทำมันก็ไม่ได้สำคัญปะ ไอ้ที่สำคัญจริง ๆคือนายทำไปแล้ว” คราวนี้ไม่ใช่เสียงแจฮยอนแล้วครับที่เป็นคนตอบกลับ แต่เป็นเสียงของมินกยูแทน

“มินกยูก็ไม่ชอบใช่ปะ”

“อือ ไม่ชอบ แล้วไม่ชอบยิ่งกว่าคือไอ้พวกที่มีปัญหาแต่ไม่มีปัญญามาหาเรื่องนี่แหละ”

“…”

“ลอบกัดเก่งนี่แม่งโคตรวิถีคนขี้แพ้เลยนะว่าปะ”

มาถึงตอนนี้ผมเริ่มขยับตัวให้เพื่อนรู้สึกตัวเป็นการตัดบทไม่ให้สงครามมันเกิดขึ้นมากกว่า เสื้อที่คลุมไว้ถูกดึงออกจนแสงแยงตาเข้ามา

“ตื่นแล้วเหรอ?”

“อื้อ อาจารย์มายัง” ผมว่าพลางยกมือขยี้ตาตัวเอง แกล้งเนียนๆว่าตัวเองเพิ่งตื่นนอน

“ยังไม่มา มึงจะรีบตื่นทำไมวะ โคนหัวกูกำลังร้อนเลย” มินกยูว่าด้วยเสียงหงุดหงิดก่อนที่มันจะหันไปคุยกับยองแจแทน

“มันหงุดหงิดอะไร?” ผมแกล้งถาม

“เมื่อกี้มันกำลังถกปัญหากับจินยองน่ะ กำลังมันส์เลย” ผมพยักหน้าหน้าซื่อ หันไปมองจินยองที่นั่งหน้าบึ้ง ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีสุดๆ

แหงแหละ ผู้ชายวิศวะพวกนี้มันปากดีน้อยที่ไหน





“ครบสิบห้านาทีแล้ว ลุกขึ้นมาเรียนได้แล้วครับนักศึกษา” เสียงอาจารย์ประจำวิชาดังขึ้นหน้าห้องเรียนเรียกให้ทุกคนในห้องกลับมาสนใจเนื้อหาตรงหน้าอีกครั้ง ผมเองก็หยิบปากกาขึ้นมาเตรียมจด

แต่ยังไม่ทันได้ได้จิ้มอะไรสักอย่าง บนหน้าจอไอแพดก็ดับไป ผมหันมองไอแพดของแจฮยอนก็ดับไปเหมือนกัน

“ไฟก็ไม่ได้ดับนี่นา” เสียงของอาจารย์บ่นขึ้น ผมเลยเงยหน้ามองจอโปรเจคเตอร์ที่ดับไปเหมือนกัน

“เหตุการณ์คุ้นๆนะ” เสียงกระซิบข้างหูทำให้ผมหันไปมองแจฮยอน ใช่ มันเหมือนจริง ๆนั่นแหละ เหมือนตอนที่มีคลิปหลุดของผมออกมา

ติ้ง ติ้ง ติ้ง

ครืด ครืด ครืด

เสียงการแจ้งเตือนโทรศัพท์ของใครหลายๆคนดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู บนหน้าจอเต็มไปด้วยภาษาและตัวเลขขึ้นมามากมาย พอลองกดดูก็ไม่ได้อะไรเลย

“เหี้ย! ใครแกล้งอะไรวะ!” เสียงเพื่อนร่วมห้องดังขึ้นก่อนเสียงอื่น ๆจะตามมาอีกเพียบ

“Three!”


!!!


“Two!”

เราทุกคนต่างนั่งนิ่งเมื่ออยู่ ๆที่หน้าจอโปรเจคเตอร์ก็ปรากฏตัวเลขนับถอยหลังขึ้นมา ผมก้มมองโทรศัพท์ของตัวเองเมื่อมันมีตัวเลขแบบเดียวกันขึ้นมา ตัวชาวาบเมื่อมันนับถอยหลังมาจนถึงหนึ่ง

“One!!”

“…”

“START!”

จบคำพูดปุ๊บภาพคลิปวิดีโอก็ถูกเปิดขึ้นมา ที่โทรศัพท์ของทุกคนได้รับการแจ้งเตือนเหมือนๆกันคือคลิปบางอย่างที่เล่นขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ


อ๊า!...อือ…แรงกว่านี้อีกได้มั้ย


ทั้งเสียงทั้งภาพที่ฉายอยู่บนหน้าจอทำให้ขนทุกส่วนในร่างกายต่างลุกชันไปหมด ก้มมองโทรศัพท์ของตัวเองที่เป็นคนๆเดียวกันแต่แค่เปลี่ยนผู้ชายเท่านั้น ผมหยิบโทรศัพท์ของแจอยอนมาเทียบกับของตัวเองก็เห็นว่ามันไม่เหมือนกัน


แม่ง มีกี่คลิปวะเนี่ย!!!


“ไม่จริง!!!!” เสียงตะโกนของคนที่นั่งอยู่ด้านข้างดังขึ้นดึงสติของพวกเราทุกคนให้กลับมา 

จินยองหน้าตาโกรธจัด มือของมันกำแน่น ดวงตาวาวโรจน์จนผมเห็นเส้นเลือดตามตัวที่ปูดโปนขึ้นมา ตอนนี้คนทั้งห้องต่างก็หันความสนใจมาที่มัน บางคนก็มองหน้าก่อนจะก้มมองที่โทรศัพท์ของตัวเองเหมือนจะดูให้แน่ใจ บางคนก็หันไปซุบซิบกัน


ภาพเหตุการณ์เหมือนตอนที่ผมโดนเป๊ะๆ


“มึงเป็นคนทำใช่มั้ย!!” เสียงตวาดมาที่ผมเล่นเอาตกใจ 

ผมตาโต ส่ายหน้าพัลวัน “กูเปล่า”

“ถ้าไม่ใช่มึงแล้วมันจะเป็นใครห้ะ!!” ตอนนี้เหมือนจินยองจะคุมสติตัวเองไม่อยู่แล้ว

จินยองยกโทรศัพท์ที่อยู่ในมือขึ้นสูงก่อนจะขว้างมันใส่ผม ผมหลับตาปี๋เตรียมรับแรงกระแทกที่ถูกขว้างมา

ปั่ก!

ค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกระทบของสิ่งของกระแทกกับอะไรสักอย่าง โทรศัพท์ของจินยองลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น พร้อมกับแจฮยอนที่กอดผมไว้

“อย่ามาโทษคนอื่นไปทั่ว” เสียงทุ้มต่ำถูกกดลงจนน่ากลัว

“อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะทำเหมือนที่ตัวเองทำดิวะ” มินกยูเองก็ลุกขึ้นยืนมาบังผมเอาไว้

“ก็แน่ดิ พวกมึงเป็นเพื่อนกันนี่! จะแปลกอะไรวะ!”

“เออ! กูปกป้องเพื่อนกูแล้วทำไม มึงมีสิทธิ์มาทำเพื่อนกูเหรอ!”

“เหอะ! มึงจะบอกว่าเพื่อนมึงมีสิทธิ์มาทำเหี้ยใส่คนอื่นหรือไง! เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพื่อนมึงเริ่มก่อนทั้งนั้น!!”

“มึงนั่นแหละที่เป็นคนเริ่ม!! หัดย้อนมองสิ่งที่มึงทำบ้าง!”

“มึง!!!”

“ไอ้หมิง มึงพอ” เสียงห้ามของยูคยอมดังขึ้นพร้อมแรงดึงรั้งของยองแจ

“มึงก็เข้าข้างมันเหรอยองแจ”

“กูจะไม่ถามหาว่าใครเป็นคนเริ่ม เรื่องนี้แม่งก็ผิดทุกคนนั่นแหละ”

“สุดท้ายมึงก็เลือกมัน ก็อย่างว่า พวกมึงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กนี่”

“ถ้ามึงคิดแบบนั้นแล้วทำให้ความโกรธที่มึงมีลดลง ก็ตามใจมึง”

จินยองหน้าเหยเก มันปลายตามองผมด้วยความเกลียดชังแบบที่ผมก็มองตอบมันไปนิ่งๆ

“กูโคตรเกลียดมึง เกลียดพวกมึงทั้งหมด” พูดจบก็คว้าข้าวของบนโต๊ะเดินออกไปจากห้อง

พอจินยองออกไปแล้วเสียงคุยก็ดังเซ็งแซ่ขึ้นมาทันที วิดีโอบนหน้าจอยังคงเล่นต่อเนื่องไม่หยุดเปลี่ยนไปเรื่อย

“โอเคมั้ยมึง ไอ้เหี้ยน่าต่อยชิบหาย ขว้างมาได้โทรศัพท์” เสียงบ่นของมินกยูทำให้ผมหันไปมองแขนจินยอง มีรอยแดงเป็นปื้นขึ้นมา

“เจมส์ เจ็บมากมั้ย”

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” แจฮยอนยิ้มใจดีพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวของผม

ผมค่อนข้างเครียด เรื่องคราวก่อนที่จินยองมันต่อยกับโดยองยังไม่ทันได้เคลียห์ มาคราวนี้แจฮยอนก็เจ็บอีก ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าโดยองเห็นรอยช้ำที่แขนแจฮยอนจะเป็นยังไง

“มึงเถอะจะเอายังไง จะตามมันไปมั้ย” หันมองยองแจที่ถามขึ้นมา ไม่ต้องคิดให้มากความผมก็พยักหน้าเป็นคำตอบ

“มึงเดาได้มั้ยว่าใครเป็นคนปล่อยคลิปพวกนี้” ผมถามเสียงเครียด

“คนที่ไปกระทืบคนปล่อยคลิปมึงได้ จะยากอะไรถ้าเขาจะปล่อยคลิปของคนอื่นบ้าง”

ผมตัวชา ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้ได้ว่าคนที่ยองแจมันหมายถึงคือใคร


…พี่มาร์ค


“กูจะตามมันไป” พูดจบผมก็ออกตัววิ่งไปนอกห้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าจินยองมันจะไปหาพี่มาร์คหรือเปล่า แล้วผมเองก็ไม่รู้ด้วยว่าพี่มาร์คอยู่ไหนตอนนี้

ระหว่างที่วิ่งผ่านห้องเรียนก็เห็นว่าทุกห้องมีคลิปหลุดของจินยองเหมือนกัน เด็กบางคนที่ยืนอยู่หน้าห้องหรือใต้อาคารเรียนต่างก็ถือโทรศัพท์ไว้ในมือพร้อมพูดคุยถึงเรื่องคลิปหลุดนี้กันทั้งนั้น


นี่พี่มาร์คกะเอาให้จินยองมันหมดอนาคตในมหาวิทยาลัยเลยหรือไง




ผมวิ่งจากคณะตัวเองมาจนถึงคณะบริหารด้วยความเหนื่อยหอบ พูดตามตรงนะว่าไม่ได้รู้หรอกว่าจินยองมันจะมาที่นี่หรือเปล่า แต่เวลาแค่นี้จะให้มันนั่งรถไปหาพี่มาร์คถึงคอนโดผมว่ามันก็คงเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน


เอาวะ ไม่เจอที่นี่ก็ค่อยไปที่อื่น


“อ้าว น้องแบม” 

ผมหันไปตามเสียงเรียกเห็นพี่เจคกับพี่แจ็คสันยืนอยู่ด้วยกันเลยเดินตรงเข้าไปหา “พี่สองคนเห็นพี่มาร์คมั้ยครับ”

“มันอยู่ข้างบน แต่เราอย่าเพิ่งขึ้นไปเลย” พี่เจคว่าพลางทำหน้าขยาดๆ

“แล้วจินยองได้มาที่นี่หรือเปล่าครับ”

“มา ขึ้นไปข้างบนแล้ว”

ผมพยักหน้า เตรียมจะวิ่งเข้าไปในตัวตึกบ้างแต่ก็ถูกพี่แจ็คสันจับตัวเอาไว้

“อย่าขึ้นเลย พี่ไม่อยากให้น้องแบมรู้สึกแย่กับมาร์ค”

“ผมไม่เคยรู้สึกแย่กับพี่มาร์ค”

“พี่หมายถึงสิ่งที่มันทำ”

“…” ผมเม้มปาก เข้าใจได้ว่าพี่แจ็คสันหมายถึงอะไร

“จริง ๆมาร์คมันจะไม่ทำอะไร ถ้าจินยองยอมเลิกรา”

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่มาร์คต้องรุนแรงขนาดนี้” ผมว่าไปตามตรง จะบอกว่าเอาคืนที่ผมโดนปล่อยคลิปเหรอ ก็ไม่น่าใช่ปะ มันผ่านมาก็หลายอาทิตย์อยู่นะ

“ดูเอาเอง แล้วก็ตัดสินใจเอง”

ผมไม่ตอบ แต่รับแผ่นกระดาษที่พี่แจ็คสันยื่นส่งมาให้ คลี่มันออกดูถึงข้อความด้านใน ข้อความหยาบคายด่าทอต่าง ๆนาๆถึงผมเล่นเอามือไม้สั่นไปหมด


เออ สมควรแล้วมึงที่พี่มาร์คจะปล่อยคลิป


เดี๋ยวกูจะให้พวกแจฮยอนไปกระทืบมึงซ้ำด้วย คอยดู!!!


“วิถีเมียหลวงผัวทิ้งชะมัด”

“…”

“เหอะ! ด่าลามไปถึงพ่อแม่กูขนาดนี้เดี๋ยวกูเอาคืนมึงแน่” ผมว่าอย่างแค้นๆ ขยำกระดาษในมือจนยับยู่ยี่ “พี่มาร์คอยู่ห้องไหนครับ”

“ว้าว แรงได้ใจพี่มาร์คครับน้องแบม”

“ไอ้เหี้ยเจค”

“ฮ่าฮ่าฮ่า 315 เลยครับ ระวังตกใจด้วย” พี่เจคหัวเราะเสียงดังเมื่อโดนพี่แจ็คสันด่าก่อนจะหันมาบอกห้องกับผม ผมพยักหน้าขอบคุณก่อนจะวิ่งเข้ามาในตึก

อาจจะเพราะส่วนใหญ่อาจารย์สั่งงานให้ทำมากกว่าจะมานั่งสอนในคาบ บนตึกเรียนเลยไม่ค่อยมีใครอยู่กันมากนัก ผมเดินตรงไปยังห้องที่พี่เจคบอก พอเดินเข้าไปใกล้ขึ้นถึงได้ยินเสียงโวยวายดังลอดออกมา

“มึงทำอย่างนี้กับกูได้ไงห้ะ!!!”

“อย่ามาขึ้นกูมึงนะ” เสียงคนหนึ่งตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ส่วนอีกคนก็ทุ้มต่ำน่ากลัว ไม่ต้องเดาไม่ต้องเห็นหน้า ผมก็รู้ได้ว่าเป็นพี่มาร์คกับจินยอง

“ทำไม! พี่จะเอาคืนที่ผมปล่อยคลิปมันเหรอไง!”

“ไม่ใช่”

“แล้วพี่มาปล่อยคลิปผมแบบนี้ทำไม!”

“แล้วจินยองทำอะไรน้องแบม พี่เคยเตือนไปแล้ว”

“ทำไม ด่าแค่นี้แตะต้องไม่ได้เลยงั้นสิ รักมันมากใช่ปะ!”

“เออ รักมากแล้วมันทำไม”

“พี่มาร์ค!!”

ผมยืนนิ่งอยู่หน้าห้องเรียน มองผ่านกระจกของบานประตูเห็นจินยองทุบตีพี่มาร์คไม่หยุด ปากก็พร่ำด่าสารพัด

“คิดว่าทำแบบนี้แล้วกูจะยอมปล่อยให้พวกมึงไปรักกันเหรอ!!”

“…”

“มึงรู้ไว้เลยนะว่ากูไม่ยอม! กูไม่มีความสุข พวกมึงก็อย่าหวังจะมีความสุข!”

“ก็ลองดูสิ อยากให้ชีวิตตัวเองพังกว่านี้ก็เอาเลย”

“…”

“แล้วมาดูกันว่าใครที่จะทนไม่ได้” จากมุมด้านข้างที่ผมมองเห็น พี่มาร์คในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากซาตานเลยสักนิด ใบหน้าหล่อเรียบนิ่งแต่บรรยากาศรอบตัวกลับอึมครึมน่าอึดอัด

“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้กับผม! ฮืออออ” จินยองทุบตีพี่มาร์ค ร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม ดูก็รู้ว่าเจ็บมาก

“พี่บอกจินยองไปแล้วว่าอย่ายุ่งกับน้องแบม”

“เพราะมัน…พี่ถึงทำกับผมแบบนี้เหรอ ฮืออ”

“ไม่ว่าใคร ถ้าทำร้ายน้องแบม พี่ไม่คิดจะปล่อยไว้” พี่มาร์คเพียงตอบนิ่งๆ จับแขนจินยองที่กำเสื้อตัวเองไว้ให้ถอยห่าง

“ถ้ามันตาย…อึก!”

ผมตาโต ยังไม่ทันที่จินยองจะพูดจบ พี่มาร์คก็พุ่งตัวเข้าไปบีบแก้มจินยองแน่น ใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม

“ถ้าน้องแบมตาย จินยองคิดเหรอว่าตัวเองจะรอด”

“อึก!!”

“หยุดทุกอย่างซะ อย่ามายุ่งกับน้องแบมอีก”

“!!”

“พี่จะเตือนจินยองเป็นครั้งสุดท้าย” พูดจบก็สะบัดมืออกจากใบหน้าจินยองอย่างแรงจนหน้าสะบัดไปอีกทาง

“พี่มันเลว…ไอ้แบมก็เลว เลวแม่งทั้งคู่!!!”

“แล้วเคยคิดมั้ยว่าตัวเองก็เลว”

“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด!”

“ไล่ให้คนคนหนึ่งไปตายนี่ยังไม่ผิดอีกรึไง คิดบ้างมั้ยว่าครอบครัวเขาจะเป็นยังไง!”

“…”

“คำพูดไม่คิดของตัวเองเคยคิดบ้างมั้ยว่ามันจะไปทำร้ายใคร”

“…”

“คนพูดไม่เคยจำ คนฟังไม่เคยลืม”

“…”

“คิดบ้างมั้ยว่าคนอื่นเขาทรมานขนาดไหน ต้องทนอยู่แบบที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนที่ตัวเองรักจะฟื้นขึ้นมา”

“เคยรู้บ้างมั้ยจินยอง…”





จินยองส่ายหน้าพัลวัน น้ำตาไหลอาบแก้มร้องไห้ราวกับจะขาดใจ ส่วนตัวผมเองได้แต่ยืนนิ่งมองใบหน้าคมที่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง


…พี่มาร์คกำลังร้องไห้


เหมือนคนที่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้ง ๆเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวกับครอบครัวผมเท่านั้น

ผมสูดหายใจเข้าลึก ตัดสินใจหมุนลูกบิดประตูเปิดเดินเข้าไป คนทั้งสองหันมองผมด้วยความตกใจ

“มึงมาทำไม! จะมาเยาะเย้ยกูหรือไง!” ทันทีที่จินยองเห็นหน้าผมก็สติแตก ลุกขึ้นจากพื้นพุ่งตัวเข้าใส่ผม แต่พี่มาร์คไวกว่ามายืนบังผมไว้พร้อมผลักจินยองให้ถอยห่างออกไป

“กูไม่จำเป็นต้องเยาะเย้ยมึง แค่นี้มึงก็แพ้พอแล้ว” ผมว่า

“ก็สะใจมึงแล้วนี่ กูชิบหายก็เพราะมึง”

“ครอบครัวกูก็ชิบหายเพราะมึงเหมือนกัน”

“กูไปทำอะไรให้มึง”

“มึงลองคิดดูสิ ย้อนไปสักสองสามปีที่แล้ว”

“…”

“จริง ๆกูอยากให้มึงชิบหายไปมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ทุกข์ทรมานแบบที่มึงเคยมอบให้ครอบครัวกู”

“…”

“แต่คิดไปคิดมา กูว่าแค่นี้พอแล้วก็ได้ ไม่ใช่เพราะกูใจดี”

“…”

“แต่กูสงสารมึง”

จินยองหน้าตาโกรธจัด ถ้ามันทำได้คงอยากจะตรงเข้ามาบีบคอผมให้ตาย แต่เพราะพี่มาร์คยืนวางไว้มันเลยทำอะไรไม่ได้ “ไม่ต้องมาสงสารกู!”

ผมไม่สนคำที่มันพูด เอ่ยต่อด้วยใบหน้านิ่งๆ “เรื่องหลังจากนี้มึงจะจบหรือไม่จบก็แล้วแต่มึง แต่กูจะบอกให้รู้ว่ามึงหมดหนทางจะชนะแล้ว”

“…”

“ถ้าอยากแพ้ไปมากกว่านี้มึงก็เดินเกมส์ต่อเลย กูพร้อมเล่นกับมึงจนจบกระดาน” ผมเอ่ยอย่างท้าทายให้จินยองมันยิ่งแค้นขึ้นไปอีกจนกำมือแน่น ต่อให้มันอยากสู้มากแค่ไหนมันก็ทำไม่ได้ เพราะมันรู้อยู่แล้วว่ายังไงตัวเองก็เป็นฝ่ายแพ้

“อยากรักกันมากมึงก็รักกันไป”

“…”

“แต่กูจะแช่งๆ ๆ! แช่งให้ความรักของพวกมึงมันพัง พังแบบที่พวกมึงสองคนรวมหัวกันหักหลังกู!”

“ขอบใจที่อวยพร” ผมยิ้มมุมปาก ยกมือกอดแขนพี่มาร์คเอาไว้พลางดึงให้มายืนข้างตัวเอง “งั้นช่วยรอดูให้กูถึงวันนั้นด้วยนะ”

“!!!”

“ส่วนตอนนี้…”

“…”

“ผู้ชายของมึง กูขอ”





ผมกระตุกแขนพี่มาร์คให้เดินตามออกมาจากห้อง เสียงร้องไห้โฮราวกับจะขาดใจดังไล่ตามหลังมาให้ต้องยกยิ้มมุมปาก

“รถจอดอยู่ไหนครับ?” ผมหันไปถามพี่มาร์คเมื่อเราเดินลงมาถึงใต้ตึกเรียนแล้ว

“พี่ไม่คิดว่าน้องแบมจะกล้าทำขนาดนี้นะครับ” เงยหน้ามองพี่มาร์คที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ใบหน้าหล่อเต็มไปด้วยความสงสัย ผมกรอกตาไปมา ไหวไหล่นิดๆให้รู้ว่าไม่แยแส

“ผมเห็นสิ่งที่มันทำแล้วก็คิดว่าร้ายไปเลยแล้วกัน ยังไงผมก็เหี้ยไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

“ไม่มีใครอยากเป็นคนที่แย่ในสายตาคนอื่นและพี่ก็รู้ครับว่าน้องแบมมีเหตุผลที่ทำแบบนั้น”

“…”

“บางคนอาจจะคิดว่ามันไม่ดี แต่สำหรับน้องแบม พี่รู้ครับว่าเหตุผลแค่นั้นมันมากเกินไปแล้ว”

ผมยิ้มกว้าง “ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ แต่ผมก็มีเรื่องจะคุยกับพี่เหมืนกัน”

“อะไรครับ?”

“ไปคุยในรถ”

พี่มาร์คพยักหน้า เดินนำผมตรงไปที่ลานจอดรถคณะ ออดี้สีดำมันวาวทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ

“เปลี่ยนรถใหม่เหรอครับ”

“ครับ”

ผมพยักหน้า เปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง กลิ่นใหม่ของเบาะหนังทำให้ผมต้องเบ้หน้า ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่คิดไปคิดมาก็ดีเผื่อเหตุการณ์อะไรบางอย่างเกิดขึ้นมันจะได้ไม่เลอะเบาะ

เช็ดทำความสะอาดง่ายๆก็ไม่ใช่เรื่องแย่

“ฟิล์มรถดำแค่ไหนครับ”

“คนนอกมองเข้ามาไม่เห็นครับ”

“อื้อ ดีแล้ว”

“ทำไมครับ?”

“ผมว่าคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้ามีใครมองเข้ามาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในรถ” พูดจบผมก็โน้มตัวไปหาพี่มาร์ค กดรั้งคออีกฝ่ายให้โน้มตัวลงมาก่อนจะแนบริมฝีปากของตัวเองลงไป กดเน้นย้ำแรงๆหลายๆทีแล้วผละออกมา

 “Mark wanna come over and watch Netflix and chill?”

“หึ” พี่มาร์คเพียงยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอื้อมมือไปขยับเกียร์ ถอยรถออกจากช่องจอดด้วยความคล่องแคล่วแล้วขับออกมา

ทันทีที่รถขับพ้นออกจากเขตมหาลัย ผมก็เริ่มการซนทันที เพราะผมคิดมาดีแล้วว่าต่อจากนี้จะทำอะไร ดังนั้นผมเลยไม่คิดสนใจว่าตอนนี้เรากำลังอยู่บนถนนที่มีรถแออัด แต่แล้วไงวะ กระจกมืดอะ ใครจะไปมองเห็น

ผมเอื้อมมือตัวเองไปลูบไล้ยังโคนขาอีกฝ่าย ลอบมองปฏิกิริยาของพี่มาร์คก็นิ่งสนิท ผมอมยิ้ม ออกแรงบีบที่โคนขาใกล้จุดกลางกายของอีกคน

“อย่าซน”

“ทำไม? ถ้าผมซนพี่จะตีผมเหรอไง”

“ระวังจะเจ็บมากกว่าโดนตีนะครับ”

“ฮะฮะ ผมกลัวจนตัวสั่นเลย”

“ตัวแสบ” พี่มาร์คกดเสียงต่ำพร้อมจับมือที่มันเริ่มไปยุ่งกับหัวเข็มขัดของเขา “อย่าให้พี่ต้องหมดความอดทนนะครับน้องแบม”

“ผมไม่เคยบอกให้พี่ทน”

“…”

“จริง ๆ ต่อจากนี้ไม่ต้องทนแล้วก็ได้” ยืดตัวไปกระซิบข้างหูอีกคนเสียงพร่า แลบลิ้นเลียที่กกหูเบาๆให้คนขับรถสะดุ้งเล่น “ผมพูดจริงนะ”

“น้องแบม…”

“I want you” 

จุ้บ

เสียงจุ้บดังขึ้นเบาๆเมื่อผมก้มหน้าลงจูบบริเวณลำคอของพี่มาร์ค มือแกร่งเผลอปล่อยมือของผมในที่สุดเลยเป็นโอกาสให้ผมได้ปลดหัวเข็มขัดออกไปให้พ้นทาง ปากยังคงพรมจูบที่คอแกร่งย้ำๆซ้ำ ดูดดึงแสดงความเป็นเจ้าของตั้งแต่นี้และตลอดไป มือล้วงเข้าไปในกางเกงนักศึกษาพอดีตัวเพื่อสัมผัสกับบางสิ่งที่ดูจะตื่นตัวขึ้นมาแล้ว ผมนึกไม่ออกเลยว่าขนาดของมันสามารถเข้าไปในตัวของผมได้ยังไง

“ซนมากก็รับผิดชอบด้วยนะครับ”

“ผมว่าผมก็หิวอยู่แหละ” ผมว่าเสียงใส จับใบหน้าแกร่งให้หันมารับจูบของผม กัดเบาๆที่ปากล่างก่อนจะผละออกมาหายใจริรดลำคอแกร่ง ไล่ลงมายังหน้าอก หน้าท้อง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่แก่นกายกลางลำตัวที่โป่งนูนดันกางเกงขึ้นมา “ช่วยขับรถให้ดีหน่อยแล้วกันนะครับ”

“ระวังจะสำลักนะครับ” พี่มาร์คยกยิ้มมุมปากเมื่อผมควักเจ้าสิ่งกางกายขึ้นมา

ผมยู่หน้า มองค้อนยังคนที่นั่งนิ่ง “พี่แอบไปกินยาเพิ่มขนาดมารึเปล่าเนี่ย”

“ลองชิมดูสิครับ เผื่อมันจะขยายใหญ่มากกว่านี้ก็ได้”

“ท้าทาย”

“แล้วรับคำท้ามั้ยครับ?”

“ผมทำให้พี่เสร็จมาแล้วครั้งนึง จำไม่ได้เหรอครับ”

“แล้วพี่เข้าไปในตัวน้องแบมมาแล้วครั้งนึงจำได้หรือเปล่า”

“ลืมไปละ สงสัยต้องย้ำใหม่อีกรอบ”

“ย้ำอีกหลาบๆรอบต่างหาก” แรงบีบที่แก้มทำให้ผมอยากจะงับไอ้สิ่งที่ตัวเองกอบกุมอยู่ชะมัด แต่เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเจ็บ ผมถึงได้ทำแค่ส่งปลายลิ้นของตัวเองไปแตะ ปลายจมูกถับลำท่อนเบาๆ ช้อนตามองคนที่นั่งนิ่งด้วยสายตายั่วยวน แล้วค่อยๆแลบลิ้นเลียตั้งแต่โคนจรดปลาย จากนั้นค่อยอ้าปากครอบส่วนหัวเข้าปากช้า ๆให้เจ้าของนั่งตัวเกร็ง

“อา…”

เสียงที่เปล่งออกมาผ่านลำคอทำให้ผมยิ่งได้ใจ ใช้ลิ้นดูดเลียอย่างแผ่วเบา โลมเลียจนมีน้ำสีขาวขุ่นปริ่มออกมา มือแกร่งของพี่มาร์ควางแหมะอยู่บนหัวของผม มืออีกข้างก็กำพวงมาลับรถแน่น

เห็นแบบนี้ผมก็เร่งจังหวะจากเชื่องช้าให้เร็วขึ้น ละเลงลิ้นใส่ส่วนหัวแดงอน่างรุนแรง ปากขยับรูดรั้งขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็วกลืนกินจนเกือบมิด

เห็นแบบนี้ผมก็ขัดใจนะ ของพี่มาร์คมันใหญ่อะ! ผมกลืนกินได้ไม่หมด!

“น้องแบม…พอ” เสียงพี่มาร์คดังขึ้นอีกครั้งพร้อมแรงพลักที่หัวของผม แต่ผมไม่สนใจ ยังคงดูดกลืนสิ่งตรงหน้าไม่หยุดแม้จะเมื่อยปากเต็มทนแล้วก็ตาม


อึดชิบ!!


“ถ้าไม่ปล่อยก็รับผิดชอบด้วยการกลืนมันลงไปด้วยนะครับ” ผมได้ยินเสียงพี่มาร์คไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะในที่สุดพี่มาร์คก็ปล่อยให้น้ำสีขาวขุ่นเข้ามาในปากผม รสชาติแย่ แต่เพราะผมเป็นคนเริ่มจึงไม่ได้รู้สึกอะไรถ้าจะต้องกลืนมันลงไป แลบลิ้นเลียตามขอบปากที่มีคราบน้ำขาวขุ่นไหลทะลักออกมา

“เยอะแบบนี้ ไม่ได้ปลดปล่อยบ้างเลยเหรอไง” ผมถามเมื่อเก็บสิ่งใหญ่โตของพี่มาร์คเข้าที่เข้าทางแล้วตัวเองก็กลับมานั่งเบาะตัวเองเรียบร้อยแล้ว

“จะให้พี่ไปทำกับใครล่ะครับ”

“ทำกับผมคนเดียวพอ”

“เจ้าข้าวเจ้าของจังนะครับ”

ผมเหลือบขวับ “ผมจองพี่มาตั้งนานแล้ว ดังนั้นต่อจากนี้ถ้าผมจับได้ว่าพี่ไปมีอะไรกับคนอื่น ผมเอาคืนแน่”

“ก่อนหน้านั้นไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย”

“ก่อนหน้านั้นก็ส่วนก่อนหน้านั้น แต่ตอนนี้อย่าหวัง”

พี่มาร์คอมยิ้ม พยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย ก็ลองไม่ว่าง่ายสิ ผมอาละวาดแน่

“หิวมั้ยครับ”

“ก็ยังหิวอยู่” ผมตอบพลางเบือนหน้าหนีมองออกนอกหน้าต่าง ตึกสูงตรงหน้าคือคอนโดที่พี่มาร์คอยู่ 

“ทำไมพาผมมาที่นี่”

“ก็เพราะพี่อยากให้อยู่ที่นี่ไงครับ” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูทำให้ผมหันขวับไปมอง และมันโคตรจะนิยายที่จมูกของเราดันชนกันเต็มๆ

“ไหน ๆทำออรัลให้พี่ตอนรถติดไปแล้ว งั้นคราวนี้ลองเปลี่ยนบรรยากาศดูนะครับ”

“ในรถเนี่ยนะ?”

“ไม่กล้าเหรอ?”

“หน้าผมเหมือนคนไม่กล้าเหรอไง”

พี่มาร์คยกยิ้มมุมปาก ดับเครื่องยนต์ก่อนจะปีนข้ามมาอยู่เบาะเดียวกับผม ปรับโยกเบาะเพียงไม่กี่ทีก็มีที่กว้างขึ้น

“เก่งจังนะครับ ทนได้มาจนถึงที่เลย” น้ำเสียงทุ้มพูดติดตลกยามก้มมองแก่นกายกลางลำตัวของผมที่มันโป่งพองนูนดันเนื้อผ้า

ก็ว่าปิดมิดแล้วนะ!!

“พื้นที่มีจำกัด ช่วยให้ความร่วมมือพี่หน่อยแล้วกันนะคะ” ว่าจบปุ๊บก็รวบขาของผมไว้ทั้งสองข้าง ก่อนจะใช้มืออีกข้างดึงกางเกงนักศึกษาของผมออกไปรวดเดียวไปกองอยู่ที่ข้อเข่า กลางเป็นว่าไม่ถึงหนึ่งนาทีท่องล่างของผมก็โล่งโจ้งแล้ว

“ไปเอาแรงมาจากไหนเยอะแยะเนี่ย” ผมบ่น

“เดี๋ยวมันจะแรงมากกว่านี้อีกครับ อย่าบ่นเลย”

ผมเบะปาก ก่อนจะแยกขาออกกว้างเพื่อให้พี่มาร์คแทรกตัวเข้ามา หลับตาพริ้มเมื่อริมฝีปากนุ่มหยุ่นทาบทับลงมา บดจูบร้อนแรงแบบที่ผมเองก็เต็มใจรับ อ้าปากให้ลิ้นร้อนสอดเข้ามากวาดทั่วโพรงปาก ลิ้นของเราสองคนเกี่ยวพันกันไปมาจนเกิดเสียงหยาบโลนดังก้องไปทั้งตัวรถ 

ข้อมือใหญ่ขยับรูดรั้งที่กลางกายของผมรวดเร็วจนผมต้องผวาโอบกอดลำคอแกร่งเอาไว้

“อ๊า!” พี่มาร์ครูดรั้งเพียงไม่กี่ครั้ง ผมก็ปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาเต็มฝ่ามือ 

“ไม่มีเจลหล่อลื่น ใช้อันนี้แทนไปก่อนแล้วกันนะครับ” พี่มาร์คยกยิ้มร้ายก่อนจะใช้น้ำขาวขุ่นป้ายไปยังที่ช่องทางด้านหลังของผม ความเปียกชื้นที่สัมผัสทำให้ผมเผลอเกร็งตัวขึ้นมา “อ้าขาให้กว้างกว่านี้หน่อยค่ะ”

ผมทำตามที่พี่มาร์คพูดอย่างว่าง่าย อ้าขาให้กว้างขึ้นก่อนจะรับรู้ถึงปลายนิ้วยาวที่ชำแลกเข้ามาในกายจนต้องเบ้หน้า

“ทนหน่อยค่ะ พี่ไม่อยากให้น้องแบมเจ็บ” น้ำเสียงทุ้มต่ำพูดปลอบใจ ผมโน้มลำคอแกร่งให้เข้ามาใกล้ก่อนจะประกบปากจูบลงไปเพื่อหาจุดดึงความสนใจ ลิ้นร้อนที่กวาดไปทั่วโพรงปากของผมนับว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะเผลอเพียงแปปเดียว พี่มาร์คก็ดันเข้ามาถึงสามนิ้วแล้ว

“อื้อ…มันแน่น”

“เดี๋ยวมันจะแน่นกว่านี้อีกค่ะ” พี่มาร์คว่าทั้ง ๆที่ตาก้มมองอยู่ที่ช่องทางด้านหลังของผมที่นิ้วตัวเองหายเข้าไปในนั้น “รัดแน่นจังเลย”

“ไม่ชอบก็ออกไปสิ!”

“ใครบอกไม่ชอบคะ?”

“…”

“รักเลยต่างหาก”

จุ้บ!

ผมเบือนหน้าหนีเมื่ออยู่ ๆก็ได้ยินคำว่ารักออกมาจากปากของอีกคน สัมผัสแผ่วเบาที่หน้าผากทำให้ผมรู้สึกหน้าเหมือนจะไหม้

“อยากให้ขยับมั้ยคะ”

“อือ” ผมครางรับ ฝังหน้าลงกับเบาะหนังเมื่อพี่มาร์คขยับนิ้วเข้าออกช้า ๆ แล้วต้องครางออกมาเสียงดังลั่นเมื่ออีกฝ่ายหงายนิ้วพร้อมกดให้แน่นเพดานแล้วค่อยๆเกี่ยวอย่างเชื่องช้า มันไม่ได้รุนแรงแต่ก็เสียวจนตัวเองร้องครางออกมา มือบางเอื้อมไปจับข้อมือแกร่งเอาไว้ ห้ามปรามไม่ให้ทำมากกว่านี้

“อ๊า….อย่า…พอ!!”

“พอแน่เหรอครับ” เสียงทุ้มถามกลับ แววตาฉายแววเจ้าเล่ห์ แต่มือก็ยังขยับเข้าออกจนเกิดเสียงดังน่าอายให้คนใต้ร่างบิดเร่าไปมาด้วยความเสียวซ่าน 

“อ๊า!!” มาร์คเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อคนน้องร้องออกมาเสียงดัง ใบหน้าน่ารักราวกับตุ๊กตากระเบื้องหันมามองหน้าเขา ดวงตากลมโตเบิกกว้าง

“อ๊า!” และน้องก็ร้องออกมาอีกครั้งเมื่อมาร์คกระแทกนิ้วเข้าไปอีกที

“ตรงนี้เหรอครับ?”

“อย่า…แกล้ง” เสียงหวานเอ่ยห้ามปราม ดวงตาฉ่ำเยิ้มมีหยาดน้ำใสคลอหน่วง ไหนจะปากบวมแดงจากการถูกบดจูบเป็นเวลาหลายนาที ทุก ๆอย่างของน้องแบมมันแทบทำให้มาร์คไม่หลงเหลือสติอยู่แล้ว นิ้วยาวกดกระแทกจุดกระสันของคนน้องรัวๆจนหยาดน้ำขาวขุ่นไหลออกมาอีกครั้ง

“น่ารัก” เอ่ยปลอบคนใต้ร่างเสียงเบาพลางปาดน้ำขาวขุ่นมาชะโลมที่แก่นกายใหญ่ของตัวเอง ต้องยอมรับเลยว่าครั้งนี้กับครั้งแรกที่มีอะไรกับน้องแบมนั้นช่วงเวลามันห่างกันเกินไป เลยไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าไปได้ง่ายๆ

“ต่อให้หนูบอกให้พี่หยุด พี่ก็ไม่หยุดให้หรอกนะคะ”

“พูดมาก เข้ามาสักที”

มาร์คยกยิ้มกับความน่าเอ็นดูของคนใต้ร่างจนอยากจะตอบแทนความน่ารักนี้ด้วยการรักแรงๆ แต่ก็ต้องยับยั้งใจตัวเองด้วยกลัวว่าคนนี้องจะเจ็บ

กดส่วนหัวเข้าไปเพียงนิดก็หยุดนิ่งมองดูอาการของคนน้อง เมื่อเห็นว่าน้องไม่ได้รู้สึกแย่อะไรรอยยิ้มร้ายก็ปรากฏขึ้นมา ก้มลงไปกดจูบปากแดงราวกับเชอรรี่นั้นแรงๆทีหนึ่งก่อนจะดันตัวตนของตัวเองเข้าไปทีเดียวจนสุด

“อร๊าง!!!” เสียงร้องน่าฟังดังขึ้นพร้อมแรงกอดรัดที่ตัว

มาร์คใช้แขนข้างหนึ่งจับเบาะรถเอาไว้ ส่วนแขนอีกข้างก็กอดเอวเล็กไว้แน่นก่อนจะค่อยๆขยับสะโพกอย่างเชื่องช้าแต่เน้นหนักทุกครั้ง

“จุก…อือ…อา” เสียงแผ่วเบาที่ดังอยู่ข้างหนูบอกมาร์คอย่างเด่นชัดว่าเจ้าตัวเองก็พอใจกับการร่วมรักครั้งนี้ แรงขยับที่สะโพกจึงแรงขึ้นเรื่อยๆตามระดับของความต้องการ

เสียงครางระงมดังลั่นรถกับความเสพสุขตรงหน้า เนื่องจากถูกคนน้องใช้ปากให้จนปลดปล่อยออกไปแล้วครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้มาร์คจึงมีแรงขึ้นกว่าเดิม กว่าที่ตัวเองจะปลดปล่อยออกมา คนน้องก็ปล่อยออกไปแล้วถึงสองครั้ง

“อ๊า…อ๊า…”

“น้องแบม พี่จะเสร็จ”

“อื้อ…รู้แล้ว”

ใบหน้าน่ารักสะบัดไปมาตามความเคลื่อนไหวจากคนด้านบน แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งมากเมื่อรู้สึกว่าร้องครางมานานเกินไปแล้ว

“อื้อ จูบ…จูบแบมหน่อย” คำร้องขอออดอ้อนของคนตัวเล็กทำให้มาร์คขบกรามแน่น โน้มตัวลงไปกดจูบปากบวมแดงที่ไม่ว่าจะสัมผัสอีกสักกี่ครั้งก็รู้สึกว่าไม่เคยพอ มีแต่จะอยากมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพราะความอยากนี้มันถึงส่งผลให้มาร์คกระแทกเอวสอบลงไปแรงๆจนเกิดเสียงดังน่าอายก้องรถ กดกระแทกแรงๆอีกสองสามครั้งก็ปลดปล่อยหยาดน้ำขาวขุ่นออกมาเต็มช่องทาง มาร์คกดแช่เอาไว้อยู่อย่างนั้นพลางมองสบตากับคนน้องที่นอนหอบหายใจตัวแดงหน้าแดงไปหมด

“ไหวมั้ยคะเด็กดี”

“…ไหว” เสียงแผ่วเบาที่หลุดออกมาทำให้มาร์คต้องยกยิ้มเอ็นดูอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าตั้งแต่ขับรถออกมาจากมหาลัยมาร์คยิ้มเพราะคนน้องไปกี่รอบต่อกี่รอบแล้ว

“งั้นขึ้นไปต่อบนห้องอีกสักรอบดีมั้ยคะ” ว่าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะถอนตัวตนออกมาจากช่องทางอุ่น ทันทีที่มาร์คถอนตัวตนออกไป คราบขาวขุ่นก็ไหลย้อนออกมาเลอเปรอะเปื้อนเบาะหนัง

“ทนก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่เอาออกให้ตอนถึงห้องแล้ว”

“เอาออกให้เพื่อที่จะใส่เข้าไปใหม่น่ะสิ” มาร์คยิ้มให้กับคำพูดแสนประชดประชันนั้น แต่ก็ไม่ได้คิดปฏิเสธเพราะสิ่งที่คนน้องพูดมันเป็นความจริง

นี่ยังไม่มืดเลย ยังมีเวลาให้ทำอะไรสนุกๆอีกเยอะ





หลังจากที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว พี่มาร์คก็ลงไปจากรถโดยยืนรอผมด้านนอก ทันทีที่ขาก้าวเหยียบบนพื้นก็แทบร่วงไปกอง อดเบ้หน้าไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงความเหนอะหนะที่ไหลลงมาตามร่องขา

“ขาสั่นแบบนี้พี่อุ้มมั้ยคะ”

“แล้วใครมันทำผมขาสั่น!” ผมว่าเสียงขุ่น

“พี่เองค่ะ พี่ทำให้น้องแบมเสียวจนขาสั่นเลย”

“พูดมากว่ะ” ว่าพลางพลักพี่มาร์คออกไปให้พ้นทาง แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวผมก็หยุดเดินแล้วย่อตัวนั่งลงไปที่พื้น 

“เป็นอะไรคะ!” พี่มาร์คถามหน้าตาตื่น ผมก็อยากจะหัวเราะอยู่หรอกนะ

“ไม่เดินแล้ว พาขึ้นไปบนห้องหน่อย” ว่าพลางชูสองแขนให้พี่มาร์คอุ้ม เบะปากแบบที่รู้ว่ายังไงพี่มาร์คก็ต้องยอม

พี่มาร์คส่ายหน้าไปมาก่อนจะช้อนตัวผมขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาว “ทนเหนียวตัวหน่อยนะคะ”

ผมพยักหน้า ซุกหน้าเข้ากับซอกคอแกร่งที่มีร่องรอยสีแดงประปรายอันเกิดมาจากฝีมือของผมเอง

เมื่อมาถึงที่ห้อง พี่มาร์คก็พาผมไปวางยังอ่างอาบน้ำก่อนจะออกไปเพื่อเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ผม พอได้อยู่คนเดียวแล้วก็ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดพร้อมเปิดน้ำใส่อ่าง เมื่อเสื้อผ้าไม่เหลือบนตัวแล้ว ผมถึงได้แยกขาออกกว้าง มองช่องทางด้านหลังของตัวเองที่มีคราบสีขาวขุ่นติดอยู่

“อ๊า” ร้องออกมาเสียงเบาเมื่อใช้นิ้วของตัวเองสอดแทรกเข้าไปในช่องทางคับแคบเพื่อเอาสิ่งที่คั่งค้างอยู่ด้านในออกมา

แกร๊ก

“พี่บอกแล้วไงครับว่าเดี๋ยวพี่ทำให้” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือหัวให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง

“ไม่ต้อง ผมทำเองได้”

“แล้วนั่งแบบนี้ต่อหน้าพี่คิดดีแล้วเหรอคะ”

“ก็แล้วจะให้นั่งยังไง-” ผมชะงัก กลืนคำพูดที่เหลือกลับลงคอเมื่อเห็นสายตาร้อนแรงจากคนที่ยืนอยู่นอกอ่าง เลื่อนสายตาต่ำลงก็เห็นบางสิ่งบางอย่างที่ดันเนื้อผ้ากางเกงยืนส์ขึ้นมาจนเห็นได้ชัด “ผมว่าผมนั่งเรียบร้อยได้แหละ”

“ไหน ๆลองในรถไปแล้ว คราวนี้ลองในห้องน้ำดูบ้างแล้วกันนะคะ”

ไม่ทันที่จะอ้างปากปฏิเสธ คนหน้าด้านก็ก้าวขาเข้ามาในอ่างอาบน้ำสะแล้ว มือแกร่งจับข้อเท้าของผมเอาไว้แน่นก่อนจะเลื่อนขึ้นสูงขึ้นมาเรื่อย ๆจนถึงแก่นกลางกายที่นิ่งสงบ





เดี้ยง


พูดได้คำเดียวว่าเดี้ยง!


“เฮ้อ!!” ผมถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้หลังจากตื่นนอน เมื่อคืนกว่าพี่มาร์คจะยอมเลิกราก็ปาเข้าไปตีสาม ผมร่วงแล้วร่วงอีกพี่มาร์คก็ไม่ยอมปล่อย ใจอยากจะสลบหนีไปเลยแต่ก็โดนรู้ทัน ความทรงจำจากกิจกรรมเข้าจังหวะตั้งแต่ในรถ ห้องน้ำ โต๊ะกินข้าว โซฟาแล้วมาจบที่เตียงไหลเข้ามาเป็นฉากๆ

เรียกได้ว่าพี่มาร์คเก็บทุกเม็ดจริง ๆ

นี่ดีแค่ไหนที่เขาไม่ลากผมไปฟาดที่ระเบียงห้องด้วย แต่อย่าให้เขารู้ความคิดของผมตอนนี้เลยนะ กลัวเหลือเกินว่าพี่มันจะทำจริง ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นผมได้เอามีดแทงท้องตัวเองตายแน่

“กินข้าวต้มแล้วกันนะคะเช้านี้ พี่กลัวน้องแบมไม่สบาย” น้ำเสียงอารมณ์ดีของเจ้าของห้องมาพร้อมกับถ้วยข้าวต้มกลิ่นหอมฉุย

“ผมจะไม่สบายก็เพราะพี่นั่นแหละ”

“ถือว่าทบต้นทบดอกไงคะ ไม่ได้ทำนาน”

“หมกหมุ่น!”

“ว่าพี่หมกหมุ่น น้องแบมก็ตอบรับพี่ตลอด”

“ผมก็ไม่ได้อยากรับมั้ยล่ะ ผมง่วง!”

“ปากหนูปฏิเสธได้ แต่ร่างกายหนูมันทำไม่ได้นะคะ”

ผมหน้าบึ้ง ถลึงตาใส่คนตัวโตไปทีแล้วแย่งถ้วยข้าวต้มมาตักกินอย่างเคืองๆ “ผมยอมหน่อยอย่ามาทำเป็นได้ใจ”

“งั้นช่วยยอมบ่อย ๆหน่อยนะคะ เพราะคนทางนี้มีใจ”

“ข้าวต้มใส่น้ำตาลมากไปนะ ผมว่าเลี่ยนๆอยู่แหละ”

พี่มาร์คยิ้มขำก่อนจะโน้มตัวมากดจูบที่ขมับของผมแผ่วเบาแล้วผละออกไป

“ใส่ใจต่างหาก”

“เบาก่อน เดี๋ยวอ้วก”

“ท้องได้ด้วยเหรอคะ พี่เตรียมตั้งชื่อลูกดีกว่า”

“ประสาท”

“หึ หยอกเล่นค่ะ” พี่มาร์คพูดจบก็นั่งลงกับพื้นข้างเตียง เอาคางเกยไว้กับที่นอนพร้อมจ้องมาที่ผมตาปริบๆ พอมองเลยไปอีกหน่อยก็เจอสิ่งมีชีวิตสองตัวที่ร้องเมี้ยวนั่งทำหน้าแบบเดียวกันเป๊ะ


ตัวก๊อปปี้เหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า


“แล้วมานั่งมองอะไรทั้งคนทั้งแมว”

“ดูเมียกินข้าวไงคะ”

“เพ้อเจ้อ” ผมว่าพลางตักข้ามต้มในถ้วยเข้าปาก “เสือโตขึ้นเยอะเลย หล่อมาก”

“หล่อเหมือนคนเลี้ยงนั่นแหละค่ะ”

“หยุดเชื่อมโยงตัวเองกับทุกสิ่งบนโลกนี้ทีครับ ก่อนที่ผมจะอ้วกออกมาจริง ๆ”

“โอ๋ งั้นกินเสร็จแล้วอยากลุกออกไปนั่งด้านนอกมั้ยคะ”

“อือ ผมอยากดูหนัง” ผมว่าพลางยื่นถ้วยข้าวต้มที่เหลือเพียงนิดคืนให้พี่มาร์คเอาไปเก็บ หลังจากนั้นก็นอนเล่นกับไลก้าและเสือ ไม่นานพี่มาร์คก็กลับเข้ามาในห้องช้อนตัวผมขึ้นอุ้มเดินพาไปนั่งยังโซฟารับแขก

ก็บอกแล้วว่าเดี้ยง

โดนไปขนาดนั้นถึงผมจะปากเก่งแค่ไหน แต่ความจริงคือผมเดินไม่ไหวนั่นแหละ เสียดที่ช่องทางด้านหลังไปหมด แล้วไหน ๆก็ยึดพี่มาร์คมาแล้วก็ใช้สะเลย


จะเป็นผัวทั้งทีก็เป็นทาสไปด้วยเลยแล้วกัน



 ______________________________________________

Chapter 20


“ดูการ์ตูนอีกแล้วเหรอครับ”

“เรื่องนี้สนุกอะ”

“แล้วไหนบอกพี่จะอ่านหนังสือไง”

“ไม่มีหนังสือ”

“แล้วชีทเรียนที่อยู่ในไอแพดนั่นคืออะไรครับ?”

“ขอดูการ์ตูนจบก่อนน้า”

“ตัวแสบ”

ผมแลบลิ้นใส่พี่มาร์คที่ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมจนยุ่งไปหมด อ้อมกอดอุ่นที่โอบล้อมตัวผมไว้ทำให้ละทิ้งผ้าห่มที่คลุมอยู่ออกไป ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปยังคนที่นั่งซ้อนหลังไว้

“พี่มาร์ค”

“ครับ”

“เย็นนี้ไปบ้านผมกัน”

“ทำไมอยู่ ๆถึงชวนพี่ไปที่บ้านล่ะครับ”

ผมเงยหน้ามองพี่มาร์คที่ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ก่อนแล้ว อดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าไปจูบที่คางหนึ่งทีแล้วตอบ “พ่อกับแม่ผมกลับมาแล้ว อยากให้พี่ไปเจอ”

“ได้สิ เพราะพี่ก็จะพาน้องแบมไปบ้านพี่เหมือนกัน”

“ต่างประเทศอะนะ?”

“บ้านต่างจังหวัดครับ ที่นั่นมีคนที่น้องแบมอยากเจอรออยู่” ในแววตาพี่มาร์คฉายชัดถึงความเศร้าออกมา ผมเพียงพยักหน้าแล้วกอดเขาเอาไว้

ตั้งแต่กลับจากมหาลัยวันนั้น ผมก็ไม่ได้ไปเรียนอีกเลย สาเหตุหนึ่งคืออาการเสียดที่ช่องทางด้านหลัง อีกสาเหตุหนึ่งคือผมอยากใช้เวลากับคนตรงหน้าชดเชยที่เราถอยห่างกันออกไป

ถึงแม้ตอนนี้ผมจะนึกออกแล้วว่าพี่มาร์คไม่ใช่คนเดียวกับที่ผมรู้จักสมัยเรียนมัธยม แต่ผมก็ไม่คิดจะเอ่ยปากถามว่าพี่มาร์คัสไปอยู่ที่ไหน เราสองคนต่างไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ผิดใจกันเลย แต่ผมรู้ว่าอีกไม่นานเราคงได้คุยกัน

บางทีทุกอย่างอาจจะรออยู่ที่บ้านต่างจังหวัดของพี่มาร์คก็ได้

“พี่มาร์ค”

“ครับ”

“ผมถามอะไรหน่อย”

“อื้อ”

“ถ้าสมมติว่าผมไม่ได้เข้าหาพี่ พี่จะเป็นฝ่ายเข้าหาผมมั้ย” ผมถามโดยที่ตามองตรงไปที่โทรทัศน์ เอาจริง ๆผมว่าผมก็คิดมาสักพักนึงแล้วนะไอ้ความรู้สึกนี้ที่แบบถ้าผมไม่เริ่ม พี่มาร์คจะเริ่มรึเปล่า

“ตอนที่พี่เจอน้องแบมครั้งแรก…”

“…”

“ค่อนข้างน่าสับสนนะครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในหัวมันบอกว่าต้องเป็นคนนี้”

“จีบผมอยู่ปะเนี่ย”

“ถ้าจีบทันพี่ก็จีบครับ แต่คู่เรามันออกจะข้ามขั้นไปสักหน่อย”

“เอากันแล้วค่อยจีบทีหลังก็มีเยอะแยะเหอะ”

“แต่เอากันทั้ง ๆที่มีคนของตัวเองมันไม่ค่อยมีนะครับ”

“เลวทั้งคู่ รู้ตัวครับ” ผมว่าติดตลก แต่ความตลกนั้นมันคือเรื่องจริง ผมไม่มานั่งหาเหตุผลมาแก้ตัวให้ตัวเองหรอกนะอย่าคาดหวังเลย เพราะผมจะพูดแบบคนเห็นแก่ตัวคือ สิ่งที่ผมทำ ผมคิดของผมมาดีแล้วว่ามันดี มันคุ้ม ใครจะมองว่าไม่ดีนั่นก็เรื่องของมึง

“บางทีพี่ก็คิดนะครับ”

“คิดอะไร”

“ถ้าพี่เจอน้องแบมเร็วกว่านี้ น้องแบมจะเลือกพี่มั้ย”

“อืม…” เออ คำถามนี้ก็น่าคิดนะ


ถ้าผมเจอพี่มาร์คก่อนพี่มาร์คัส ผมจะเลือกพี่มาร์ครึเปล่า


แทบไม่ต้องคิดผมก็ตอบได้ “คงไม่”

“เจ็บดี”

“เอ้า ไม่รอฟังเหตุผลผมก่อนอะ” ผมหันไปแย้ง บีบแก้มพี่มาร์คแน่นเมื่ออีกฝ่ายทำเป็นตีหน้าเศร้า แต่มือกลับล้วงมาลูบคลำหน้าท้องผม

“งั้นพูดไปครางไปได้มั้ยครับ”

“สองสามวันมานี่พี่จัดผมคุ้มไปละปะ!”

“พี่ขาดทุนมาเยอะแล้วนี่คะ”

“ไม่ต้องมาพูดคะขาเพื่อหลอกฟันผมอะ”

“พี่หลอกที่ไหน? ขอเอาตรง ๆเลยต่างหากค่ะ”

“หื่นกาม!!”

“ที่สุดเลยค่ะ”

“อื้อ!!” ไม่ทันได้อ้างปากเถียง พี่มาร์คก็ยื่นหน้ามาประกบปากจูบผมแล้ว ลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งจับผมให้ขึ้นไปนั่งคร่อมตักตัวเองไว้อีก

ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้เต็มใจ แต่ร่างกายที่ก็ต่อต้านสุดขีด เหมือนเป็นความคุ้นชินของร่างกายไปแล้ว มือข้างหนึ่งโอบรอบลำคอแกร่งไว้ ในขณะที่มืออีกข้างก็เลื่อนต่ำลงไปสัมผัสกับสิ่งที่คับแน่นกลางกาย

“อา…” ร้องครางออกมาเสียงเบาเมื่อมือแกร่งสอดเข้าไปใต้กางเกงขาสั้น แรงบีบที่ก้นทำให้ผมเผลอแอ่นตัวเข้าหาคนด้านล่าง บดเบียดสะโพกให้แนบแน่นสัมผัสของกันและกัน

“อ๊ะ!” สะดุ้งจนต้องจิกมือลงบนไหล่หนาเมื่อนิ้วเรียวยาวกดสอดเข้าไปในช่องทางด้านหลังแล้วกดย้ำลงจุดกระสันภายในร่างกายจนขนลุกชันไปหมด

“แกล้งผม…อ๊า!”

“บทลงโทษของเด็กแสบ”

“ไอ้บ้า…อ่า…”

“ถ้าอยากงั้นลองเป็นคนทำดูหน่อยค่ะ”

“ผมเอา…อ๊า!...คืนแน่!”

“พี่ก็รอคนเอาคืนอยู่น่ะค่ะ”





“น้องแบมเข้าไปอาบน้ำก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวพี่ทำความสะอาดเอง” น้ำเสียงทุ้มต่ำอารมณ์ดีพูดขึ้นหลังจากที่ปลดปล่อยอารมณ์ใส่ร่างกายผมไปเต็มๆถึงสองรอบ

“แปป” ผมว่าเสียงพร่า ตาเหลือบมองกางเกงขาสั้นและอันเดอร์แวร์ของเองที่เกี่ยวอยู่ตรงข้อเท้า ก่อนจะหันหน้ามาสบตากับคนด้านบนที่ยังไม่ถอนตัวตนออกไป

“อยากกินอะไรก่อนไปบ้านมั้ยคะ”

“อยากให้พี่ลุกออกไปจากตัวผม”

พี่มาร์คยกยิ้มมุมปากก่อนจะขยับตัวถอยห่างออกไป สิ่งที่ผมตอดรัดไว้ก็ออกไปจนรู้สึกโหวง ก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อพี่มาร์คกดมันเข้ามาอีกครั้ง

“อ๊า! จุกนะ!!”

“แต่ก็รับมันมาได้ตั้งหลายครั้งไม่ใช่เหรอคะ”

“เลิกแกล้งผมเดี๋ยวนี้!” ผมแหวลั่นเสียงดัง หัวเริ่มร้อนขึ้นมาปุดๆ ขืนยอมให้พี่มาร์คทำอีกรอบบ้านเบิ้นคงไม่ต้องกลับกันแล้ว!

“ไม่แกล้งแล้วก็ได้ค่ะ” พี่มาร์คส่งยิ้มมาให้จนตาหยีก่อนจะถอนตัวตนออกไปจากร่างกายผม ตามด้วยคราบน้ำขาวขุ่นที่ไหนตามออกมา

“ว้าว ภาพน้องแบมมุมนี้ดีมากเลยค่ะ” ไอ้ภาพที่พี่มาร์คว่าคือการขาข้างหนึ่งของผมวางอยู่ที่พื้น ส่วนขาอีกข้างพาดอยู่บนพนักพิงโซฟา แถมเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ก็ถูกถอดกระชากไปกองอยู่ตรงข้อศอก

“ผมดีหมดทุกมุมนั่นแหละ” ผมว่าทั้ง ๆที่ยังนอนอยู่บนโซฟา

“แล้วดีแบบนี้รู้มั้ยคะว่าจะมีต่ออีกรอบ” สายตาคมกวาดมองทั่วร่างผมราวกับจะกลืนกินจนผมต้องถลึงตาใส่ แต่ก็อดที่จะยั่วไปด้วยไม่ได้

“ถ้าแน่จริงก็มาสิ” ยกยิ้มร้ายส่งไปให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า สอดมือเข้าไปใต้ข้อพับขาก่อนจะยกขาขึ้นจนเกือบชิดหน้าอก จับแยกก้อนกลมกลึงทั้งสองให้แยกออกเผยช่องทางเล็กที่ยังมีคราบขาวขุ่นเปรอเปื้อนไว้อยู่

“น้องแบม…” เสียงทุ้มคำรามต่ำตามมาด้วยร่างกายสูงใหญ่ที่กระโจนเข้าใส่ผมเต็มๆ “ไปถึงบ้านช้าก็อย่ามาว่าพี่นะคะ”

“ข้าวเย็นกินตอนสองทุ่ม ถ้าพี่พาผมกลับไปกินข้าวที่บ้านทันก็โอเค”





สุดท้ายกิจกรรมเข้าจังหวะของเราก็จบลงตอนเกือบหกโมงเย็น พี่มาร์คถอนตัวตนออกไปแล้วกำลังยืนใส่กางเกงอยู่ ส่วนผมได้แต่นอนหอบหายใจด้วยความเหนื่อย เบนสายตาไปยังประตูห้องนอนก็เห็นเสือกับไลก้านั่งจ้องมาตาแป๋ว

เมี้ยว

เวร เอากันต่อหน้าแมวไปอีก

“รู้งานดีนะคะ ไม่เข้ามายุ่งอะ”

“คราวหลังทำในห้องนะ ผมขอเลย” ผมพูดอย่างอายๆ ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าว

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไปอาบน้ำดีกว่าค่ะ เดี๋ยวไปบ้านไม่ทัน” ผมพยักหน้า หยิบเสื้อผ้าที่ถูกถอดปาทิ้งไว้ที่พื้นขึ้นมาสวมใส่ลวกๆ ก่อนจะพาร่างตัวเองไปอาบน้ำ

ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ เดินกลับออกมาหาพี่มาร์คที่นั่งก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่ที่โซฟาก็ไม่รู้

“ทำอะไรน่ะ”

“เก็บซากนิดหน่อยค่ะ”

ผมขมวดคิ้ว เดินเข้าไปใกล้พี่มาร์คมากขึ้นเพื่อจะดูว่าไอ้เศษซากที่พี่มาร์คว่าคืออะไร แต่เมื่อเห็นคราบขาวขุ่นที่เปรอะเละเต็มโซฟาก็ได้แต่เกาแก้มตัวเองแก้เก้อ

“ผมรอหน้าลิฟต์นะ”

“หึ…ครับ เดี๋ยวพี่ตามไป”




ผมกับพี่มาร์คเรามาถึงบ้านตอนทุ่มครึ่ง ไฟในบ้านที่ปกติจะมืดสนิทกลับสว่างไสวไปหมดไม้เว้นแม้แต่สวนหน้าบ้าน

“ยิ้มกว้างเชียว มีความสุขมาแน่เลย” เสียงเอ่ยแซวของพี่มาร์คมาพร้อมกับแรงจิ้มที่แก้ม

ผมดึงนิ้วที่จิ้มแก้มตัวเองอยู่ออกก่อนจะกุมมันไว้นิ่งๆ มองเข้าไปในบ้านแค่นี้ก็รู้แล้วว่าต้องคึกคักมากแน่ ๆ

“ใจหนึ่งมันก็ดีใจนั่นแหละ แต่อีกใจมันก็บอกว่ากลัวเป็นแค่ความฝัน ถ้าลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วมันไม่ใช่แบบนี้ผมจะทำยังไง”

“…”

“ไม่รู้ดิ การอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันมันเป็นสิ่งที่ผมโหยหามาตลอด พอมาวันนี้มันมาอยู่ตรงหน้าแล้วผมก็เลยกลัว”

“แต่ความกลัวก็คือสิ่งที่จะอยู่กับเราไปตลอดนะครับ ถ้ากลัวก็แสดงว่ามันเป็นความจริง”

“…”

“นี่อาจจะเป็นสิ่งตอบแทนสำหรับน้องแบมก็ได้ ของตอบแทนของคนเก่งของพี่”

“แล้วพี่จะมาเป็นสิ่งตอบแทนอีกอย่างหนึ่งในชีวิตผมด้วยป่าว”

“ถ้าน้องแบมอยากให้เป็น มันก็จะเป็นของน้องแบมครับ”

ผมยิ้มกว้าง เอ่ยขอบคุณพี่มาร์คแบบที่ให้ได้ยินกันแค่สองคน ยืดตัวไปกดจูบที่แก้มก่อนจะลงมาจากรถ
เสียงครึกครื้นที่ดังออกมาจากตัวบ้านทำให้ผมยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่ เหมือนภาพวันเก่าๆของครอบครัวเราหวนกลับมาอีกครั้ง แต่ตอนนี้กลับเพิ่มสมาชิกใหม่เข้ามาด้วย

“แบมมาแล้ววว มีใครรอแบมบ้างงง” ผมลากเสียงยาวเมื่อเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว

“ไม่มีใครรอทั้งนั้นอะ มาทำไมก็ไม่รู้”

“เหอะ ไอ้พี่ชั่ว” ผมเบะปากเมื่อเห็นพี่ชายคนโตของบ้านออกมาจากห้องครัว

ขออัพเดตอาการของพี่บีนิดนึง คือตอนนี้พี่ชายของผมออกจากโรงพยาบาลแล้วครับ แต่ยังต้องนั่งวิวแชร์ไปก่อนเพราะยังเดินไม่สะดวก แถมต้องไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลทุกวันด้วย

“อ้าว พามาด้วยอ่อ เป็นไรกันอะ พาเขามาบ้าน”

“ไม่ยุ่งสักเรื่องได้ปะ”

“มีน้องกากเฮียไม่ปลื้มนะน้อง”

“ไม่กากเหอะ จะฟ้องแม่!” 

พี่บีทำหน้าล้อเลียนก่อนจะเข็นตัวเองกลับเข้าไปในห้องครัว ส่วนผมก็ลากพี่มาร์คเดินตามไปด้วย 

“พ่อ แม่!”

“อ้าวมาแล้วเหรอจ๊ะลูกเขยแม่ แหม หล่อนะเนี่ย”

ผมหน้าเหวอ เมื่อแม่หันมาจากการทำกับข้าวแล้วเดินตรงมาหาพี่มาร์คที่ยืนอยู่ด้านหลังของผม

“…เอ่อ สวัสดีครับ” พี่มาร์คเองก็ดูจะเหวอไปเหมือนกัน พูดติดอ่างเชียว

“บีเล่าให้แม่ฟังหมดแล้วแหละ ยินดีต้อนรับนะจ๊ะมาร์ค”

“คุณก็เบาๆหน่อย นั่นแฟนลูก”

“แฟนลูกหล่อแบบนี้ คนเป็นแม่แบบฉันก็ต้องปลื้มสิคะ”

“ปลื้มได้ แต่คงน่าสงสารแย่ได้เจ้าแสบไปเป็นแฟน ว่างๆก็ไปทำบุญหน่อยนะ”

“พ่อ!! นี่แบมลูกพ่อนะ!” ผมแหวลั่น “ใครได้แบมไปเป็นแฟนโชคดีจะตาย”

“ดีออกอะสิ สร้างแต่เรื่อง”

“ไอ้พี่ชั่ว!!”

“กลัวๆๆๆๆๆ”

“แงงงงงง!!!” ผมแหกปากร้องลั่นเมื่อทุกคนรุมกันแกล้งแต่ผม แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะของทุกคนที่ดังขึ้นแล้วผมก็อดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

การอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันมันมีความสุขจริง ๆนะ

“ยิ้มเยอะๆนะคะคนเก่งของพี่”




และแล้วมื้ออาหารของเราก็จบลงในตอนสี่ทุ่มเนื่องจากพวกเราหาเรื่องมาคุยกันเยอะแยะไปหมด พูดคุยทุกเรื่องในระหว่างที่พี่บีเข้าโรงพยาบาล

“น้องแบมพาพี่มาร์คขึ้นไปอาบน้ำไปลูก แล้วลงมาเอาผลไม้ขึ้นไปกินนะ เดี๋ยวแม่ปลอกไว้ให้”

“ขอบคุณครับ” พี่มาร์คยกมือไหว้ หลังจากนั้นผมก็พาพี่มาร์คขึ้นมาห้องนอนของตัวเอง

นี่เป็นอีกอย่างที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่พี่มาร์คเข้ากับคนในบ้านผมได้เป็นอย่างดี ดีมาก ๆโดยเฉพาะกับพี่บี ไม่เข้าใจทำไมถึงคุยกันถูกคอนัก

“พี่อาบน้ำได้เลยนะ เดี๋ยวผมลงไปเอาของกินขึ้นมาให้”

“แบม”

“หื้อ?”

“แทนตัวเองว่าแบมได้มั้ยครับ”

“…” ผมเงียบ

“แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ พี่แค่ลองถามดูเฉยๆ” รอยยิ้มอบอุ่นถูกส่งให้ผมอีกครั้งก่อนที่พี่มาร์คจะหันหลังเตรียมเดินเข้าห้องน้ำไป

“เดี๋ยว”

“?”

“…แบมจะลงไปเอาผลไม้ขึ้นมาให้”

“ขอบคุณนะครับ”

ผมพยักหน้ารัวๆก่อนจะรีบเดินออกมาจากห้องเมื่อพี่มาร์คยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวซี่เล็กตรงมุมปากทั้งสองข้าง

มาร์ค เวน ดิสเทนตอนยิ้มกว้างแบบนี้ไม่ดีต่อใจสักนิด!

“พ่อ แม่ แบมมาแล้วครับ” ผมว่าขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในครัวแล้วเห็นพ่อกับแม่นั่งคุยกันอยู่ ใบหน้าเรียบนิ่งของคนทั้งคู่ทำให้ผมต้องจริงจังตามไปด้วย

ผมรู้ว่าแม่ไม่ได้จะให้ผมลงมาเอาผลไม้อย่างเดียว

“พี่เขาอาบน้ำแล้วเหรอลูก”

“ครับ แล้วพ่อกับแม่มีอะไรจะพูดกับแบมเหรอ” ผมว่าพลางสอดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“พ่อนึกว่าแบมรู้อยู่แล้วว่าเราจะคุยกับลูกเรื่องอะไร”

“แบมจะรู้ได้ไง”

“จะให้พ่อกับแม่ถามงั้นสิ?”

ผมพยักหน้า เอนหลังพิงพนักเก้าอี้เหมือนสบายๆ แต่ในใจกลับอึดอัดไปหมด “แต่แบมพูดได้อย่างหนึ่ง ทุกสิ่งที่แบมทำ แบมคิดของแบมดีแล้ว”

“แล้วแบมคิดบ้างมั้ยว่ามันจะไม่จบไม่สิ้น แอมเอาคืนเขาแบบนี้ เดี๋ยวเขาก็กลับมาเอาคืนแบมอีก”

“ก็เอาดิ แบมไม่ได้กลัวมันสักหน่อย”

“แบมแบม!”

“พ่อว่าแบมไม่ได้ปะ แบมรู้ว่าพ่อกับแม่ก็รู้ว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่บีเป็นแบบนั้น เผลอๆพ่อกับแม่รู้ตั้งแต่ต้นแล้วด้วยซ้ำ” ถึงพ่อกับแม่ผมจะอยู่ต่างประเทศ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกท่านไม่รู้ความเคลื่อนไหวชีวิตของผมกับพี่บี 

“มันเกิดไปแล้ว เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้นะลูก แล้วทางฝั่งนั้นเองเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้”

“ก็พ่อกับแม่ปิดไว้ไง ข่าวรถชนกันขนาดนั้นแต่ข่าวไม่หลุดออกมาเลย มันเป็นไปไม่ได้”

“แล้วไง ถ้ามันเป็นข่าวขึ้นมาแบมจะทำยังไง?”

“…”

“แบมหวังจะให้ฝ่ายนั้นมาขอโทษเราเหรอ มาขอโทษในเรื่องอะไร เขาไม่ใช่คนที่ขับรถชนพี่เรา”

“แต่มันเป็นสาเหตุให้พี่บีเป็นแบบนั้นนะพ่อ!”

“แบมรู้ดีว่าคำพูดคนมันทำร้ายคนได้ แล้วเรื่องนี้พี่เราก็เป็นฝ่ายประมาท ขับรถเร็วขนาดนั้น รอดมาได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“แบมไม่สน” ผมหันหน้าหนี ถึงความเป็นจริงจะเป็นแบบไหนผมก็ไม่คิดสน 

“แบม เราพอได้แล้วนะลูก เราทำร้ายกันมากเกินไปแล้ว”

“ไม่ จนกว่ามันจะมาขอโทษพี่บี”

“แล้วแบมเคยถามพี่บีมั้ยว่าเขาต้องการคำขอโทษรึเปล่า จะเอาแต่ใจอะไรก็ให้มันมีขอบเขตหน่อย”

“…”

“อย่าต้องให้พ่อกับแม่มาสร้างขอบเขตให้แบมเลย”

“แบมโตแล้ว”

“ถ้าโตแล้วก็ทำตัวแบบที่คนโตเขาทำหน่อย อ่อ เรื่องแฟนเรา พ่อกับแม่ไม่ว่าเรื่องที่จะคบกัน แต่อย่าเอาเขามาเป็นตัวแทนของใคร”

“พ่อกับแม่รู้เหรอ?” คราวนี้ผมตาโต ไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะรู้เรื่องพี่มาร์คด้วย

“ไม่ยากที่จะสืบนี่”

“แล้ว…”

“เรื่องอื่นที่เกี่ยวกับพี่เขา แบมก็รอฟังจากปากพี่เขาเถอะลูก”

ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากถาม แม่ก็แย้งขึ้นมาสะก่อนพลางดันจานผลไม้ยื่นมาตรงหน้าผมเป็นการตัดบทว่าเรื่องที่เราคุยกันมันจบแค่ตรงนี้

“ถ้าถึงตอนนั้นแล้วมันเข้มแข็งไว้ไม่ไหว ก็ร้องไห้ออกมานะ”

“ทำไม?”

“ก็แค่บอกเผื่อไว้เฉยๆ”

ผมไม่ตอบอะไร ถึงพ่อกับแม่จะไม่บอกว่าไปรู้อะไรมา แต่ผมคิดว่ายังไงพี่มาร์คก็ต้องพาผมไปเจอความจริงอยู่แล้ว 

เมื่อกลับขึ้นมาบนห้องก็ยังได้ยินเสียงน้ำที่ดังลอดออกมาจากห้องน้ำ ผมวางจานผลไม้ไว้ที่โต๊ะ ส่วนตัวเองก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงที่ปลายเตียง สิ่งที่พ่อพูดเตือนไว้ยังดังก้องอยู่ในหัวเหมือนเปิดกลอวนเอาไว้ ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ว่าในใจลึกๆของผมก็มีคำตอบอยู่แล้วว่าความจริงทั้งหมดมันเป็นยังไง คนที่ผมเฝ้าถามมาตลอดว่าหายไปไหน ตอนนี้จะเป็นยังไง ผมมีคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่อยากจะยอมรับมันถ้ายังไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็เท่านั้น

คิดแบบนี้ทีไรตัวก็สั่นขึ้นมาทันที 

แกร๊ก

“ขอโทษนะครับที่พี่อาบน้ำนาน”

ผมเงยหน้ามองพี่มาร์คที่เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่พันไว้รอบเอวอย่างหมิ่นเหม่ ร่ายกายกำยำมีน้ำเกาะอยู่ตามตัว ถ้าเป็นปกติผมว่าผมน่าจะอ่อยเขาแหละ

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ” คนตัวโตเดินมาใกล้ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อเห็นผมเอาแต่นั่งนิ่ง

“พี่มาร์ค”

“ครับ”

“…กอดแบมได้มั้ย”

“ตัวพี่เปียกอยู่”

“กอดนะ กอดแบมนะ” อยู่ ๆขอบตาก็รู้สึกร้อนผ่าวจนต้องกัดปากตัวเองเอาไว้ พร้อมที่ตัวของผมตกเข้าสู่อ้อมกอดคนตัวใหญ่ ถึงแม้ตัวพี่มาร์คจะเปียกแต่ผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของร่างกายนี้

“เป็นอะไรหื้อคนเก่ง”

“พรุ่งนี้ เราไปบ้านพี่ที่ต่างจังหวัดกันดีมั้ย” ผมพูดเสียงอู้อี้

“ทำไมอยู่ ๆถึงอยากไปล่ะครับ”

“ก็พี่บอกว่าจะพาไป”

“รอสอบเสร็จก่อนมั้ย”

“ไม่เอา”

“…”

“ถ้าความจริงมันเจ็บปวด รู้ตอนไหนก็เจ็บปวดเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“บางทีมันอาจจะเจ็บกว่าที่ผ่านมาก็ได้นะครับ”

“ไม่เป็นไร เพราะผมมีพี่อยู่ข้างๆ ผมเชื่อว่าตัวเองจะไม่เป็นไร” ผมเงยหน้ามองพี่มาร์ค ใบหน้าของเขามีความกังวลอยู่ในนั้น เหมือนอยากจะพูดห้ามแต่ก็รู้ดีว่าคงห้ามผมไม่ได้

“ก็ได้ครับ พรุ่งนี้พี่จะพาไป”





“กินข้าวที่บ้านก่อนดิแล้วค่อยไป” 

“อยากให้อยู่ด้วยนาน ๆก็บอก”

“มาร์ค เมื่อกี้ตอนอยู่โรงบาลไม่พามันไปเช็คสมองบ้างอะ”

“พี่บี!!”

“หมูตกมันๆ ๆ”

ผมหน้าบึ้ง เบะปากด้วยความไม่พอใจเพราะตั้งแต่ขับรถออกจากบ้านเพื่อพาพี่บีไปทำกายภาพบำบัดจนถึงตอนนี้ที่กำลังขับรถกลับบ้าน ไม่มีประโยคไหนสักประโยคที่ไอ้พี่บ้าไม่จิกกัดผม
แม่ง กลับไปจะฟ้องแม่ให้ดู

“ฟ้องไปเหอะ กลัวตายอะ”

“อย่ามารู้ทันได้แมะ”

“มามงมาแมะ น่ารักมากมั้ง”

“น่ารักไม่น่ารัก พี่มาร์คก็รักแบมแหละวะ”

คราวนี้เป็นพี่บีบ้างที่เป็นฝ่ายเบะปาก หันมองพี่มาร์คก็เห็นนั่งอมยิ้ม ดูก็รู้ว่าพยายามกลั้นขำไว้สุดตีน

“ขำมากมั้ยครับ” ผมว่าพลางยื่นมือไปบิดเบาๆที่แขน

“จะตีกันก็กลับไปตีกันที่บ้านนะ กูยังไม่อยากรถชนอีกรอบ”

“พี่บีก็ลงไปเดินดิ”

“เดินออกมาจากบ้านกูยังทำไม่ได้เลย โง่อะไรขนาดนี้”

“ด่าแบมอีกแล้วนะ!”

“ตกมันอีกแล้วนะ!”

“ฮื่ออ” สุดท้ายผมก็แพ้พี่บีอีกรอบ “หยุดหัวเราะเลยนะ!”

“โอ๋ค่ะ” ผมเบะปาก เอนหัวหลบมือใหญ่ที่ยื่นมาจะลูบหัว ปากบอกโอ๋แต่มุมปากนี่ยกสะสูงเชียว ดูก็รู้ว่าขำที่ผมมานั่งเถียงแพ้พี่บีเป็นว่าเล่น

ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน โดยที่ผมนั่งหน้าบึ้งหันหน้ามองนอกหน้าต่างตลอดทาง พอรถจอดปุ๊บ ผมก็ลงจากรถเป็นคนแรก เปิดประตูหลังช่วยพยุงพี่บีให้ลงมาจากรถเพื่อนั่งวิวแชร์เข้าไปในบ้าน เลิกคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นรองเท้าผ้าใบที่ไม่คุ้นตาถอดวางอยู่

“เพื่อนพี่บีมาปะ” ผมก้มถามพี่บี

“ไม่ใช่นะ”

“เข้าไปดูเดี๋ยวก็รู้เองแหละครับ น้องแบมเปิดประตูให้พี่หน่อย”

ผมพยักหน้า ผลักประตูให้เปิดออกกว้างเพื่อให้พี่มาร์คพาพี่บีเข้าไปในบ้าน

“นั่นไง คงมากันแล้วมั้งลูก เจ้าแบมเขาพาพี่ชายไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลมาน่ะจ้ะ”

เลิกคิ้วขึ้นเมื่อพอจะเดาได้แล้วว่ารองเท้าที่หน้าบ้านเป็นของใคร แหม บุกมาหากันถึงบ้านอีกแล้ว เดี๋ยวกูจะทำให้ปรี๊ดแตกอีกรอบเลยคอยดู

“จะเล่นอะไรร้ายๆอีกแล้วครับเด็กดื้อ”

“จะพาพี่ชายไปรู้จักเพื่อนไงครับ”

“มีเพื่อนคบด้วยอ่อ”

“เงียบเหอะน่าพี่บีอะ”

พี่บีไหวไหล่แต่ก็ยอมเงียบลงให้พี่มาร์คพาเข้าไปในห้องนั่งเล่น ส่วนผมก็เดินตามเข้าไปเป็นคนสุดท้าย เสียงพูดคุยในห้องรับแขกเงียบลงทันที ผมแกล้งเงยหน้าขึ้นมางงๆ กวาดตามองทุกคนประมาณว่าทำไมเงียบไปล่ะ? เบิกตากว้างขึ้นนิดเมื่อเห็นใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาเดี่ยว

“อ้าว! จินยอง มาหากูถึงบ้านมีไรป่าว?”

“…”

“แหม จะมาทั้งทีก็น่าจะบอกกันก่อน” ผมยกยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นสายตาของจินยองที่มันจดจ้องอยู่ที่พี่ชายของผม 

“นยอง…”

“พี่บี…”

“อ้าว? นี่มึงรู้จักพี่ชายกูด้วยเหรอ? ไปรู้จักกันตอนไหนเนี่ย” ผมว่าเสียงตื่นเต้น ก้าวเท้าเดินมายืนคั่นกลางระหว่างมันกับพี่บีเอาไว้ “พอดีพี่กูเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เลยงงนิดหน่อยว่ามึงกับพี่กูรู้จักกันได้ยังไง”

“…”

“หรือว่าเคยรู้จักกันก่อนหน้านี้งั้นเหรอ” 

บรรยากาศภายในห้องเกิดความอึดอัดทันที สายตาของจินยองฉายชัดว่ากำลังสับสน มันคงงงนั่นแหละว่าผมไปเป็นน้องพี่บีได้ยังไง ส่วนพี่ชายผมดันเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง ถึงสายตาจะยังเรียบนิ่ง แต่มือที่กำไว้แน่นก็พอเดาได้ว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่

“พ่อกับแม่จะขึ้นไปพักข้างบน คุยกันดี ๆ” เสียงของพ่อกลายเป็นเสียงที่พาให้ทุกคนกลับออกมาจากความคิดของตัวเอง

ผมยิ้มหวานส่งให้พ่อกับแม่ “ดี ๆอยู่แล้ว เนอะจินยอง”

“…ครับ” จินยองรับคำให้พ่อกับแม่เสียงเบา

หลังจากพ่อกับแม่เดินออกไปจากห้องแล้ว ผมก็หันกลับมาสนใจแขกไม่ได้รับเชิญตรงหน้า ดูมันจะยังงงไม่หายถึงได้นั่งเงียบอยู่แบบนี้

“กินน้ำกับขนมสักหน่อยดิ แม่กูทำอร่อยนะ” ผมว่าพลางดันจานขนมไปตรงหน้าจินยอง “หรือว่ามันตกใจจนกินอะไรไม่ลง?”

“นี่มันอะไร?” 

ผมหันกลับไปมองหน้าพี่ชายตัวเอง ถึงแม้ใบหน้าจะเรียบนิ่ง แต่ก็ปิดไม่มิดถึงอารมณ์ที่คุกกรุ่นขึ้นมา

“ก็นี่ไงเพื่อนแบมที่มหาลัย แต่แบมยังไม่ได้เล่าให้พี่บีฟังเฉยๆ แต่พี่กับมันก็ดูเหมือนรู้จักกันนิ หรือแบมเข้าใจผิด?”

“เข้าใจผิด!”

“…มะ!”

“เข้าใจผิด? มึงแน่ใจนะว่ากูเข้าใจผิด?” ผมหันไปถามจินยองอย่างเอาเรื่อง มาถึงขนาดนี้แล้วมันยังกล้าบอกอีกว่าผมเข้าใจผิด ได้ มึงได้ ถ้าบอกว่ากูเข้าใจผิด เดี๋ยวกูจะทำให้มันถูกเอง

“กูไม่รู้จักพี่ชายของมึง”

“ทำไมอะ พี่กูหน้าตาเปลี่ยนไปเหรอ? แต่ก็แค่ผมยาวขึ้นเองปะ”

“คนหน้าตาเหมือนกันมีตั้งเยอะแยะ กูจะไปจำได้ไง”

“แหม่ หน้าตาเหมือนอาจจะลืมได้ แต่วีรกรรมที่มึงทำไว้คงลืมไม่ได้ง่ายๆหรอกมั้ง”

“มึงจะพูดอะไร” 

ผมมิ้มมุมปาก มองหน้าตาที่หวาดระแวงของมัน “ก็ผู้ชายคนนี้ไงที่มึงไล่ให้เขาไปตายอะ มึงทำลายชีวิตเขาไปขนาดนั้นมึงจะบอกมึงจำไม่ได้เหรอ?”

“….”

“ผู้ชายที่รักแบบเอาชีวิตถวายให้มึงเลยอะ จำไม่ได้จริงปะ มึงจำไม่ได้หรือมึงแกล้งลืมกันแน่!!!”

“น้องแบม!”

“ปล่อยแบมนะพี่มาร์ค!!! บอกให้ปล่อย!”

“เด็กดีอย่าโวยวาย ไม่เอาครับ!” 

ผมดิ้นเร่าอยู่ในอ้อมแขนของพี่มาร์ค บอกตามตรงว่าตอนแรกที่คิดจะคุยกับจินยองแบบดี ๆมันเป็นอะไรที่ทำได้ยากมากจริง ๆ ผมพยายามทำตัวให้มีสติ แต่พอยิ่งได้พูดถึงสิ่งที่อัดอั้นมาตลอดหลายปี ผมก็รู้สึกว่าความอดทนมันค่อยๆหายไป

“กูต้องบอกมึงมั้ยว่าเมื่อหลายปีก่อนมึงด่าเขาว่าตอแหล ตอนที่เขาส่งข้อความไปขอร้องมึงให้มาดูพี่ชายเขาหน่อย”

“…”

“มึงยังเคยเล่าให้กูฟังอยู่เลยนี่ว่ามึงคิดว่าเขาแค่เรียกร้องความสนใจจากมึง แต่มึงรู้ปะว่าเปล่าเลย”

“…”

“กูเป็นคนนั้นที่ส่งข้อความไปหามึง ส่งข้อความไปเป็นร้อยเป็นพันขอร้องให้มึงมา แต่มึงกลับบล็อคกูแล้วก็หนีหายไปใช้ชีวิตมีความสุข ทิ้งให้บ้านกูอยู่บนความทุกข์ทรมาน!”

“แล้วกูผิดตรงไหน!! กูจะคิดว่าพี่มึงเรียกร้องความสนใจแล้วมันผิดตรงไหน!”

“มึง!”

“ก็นี่มันความคิดของกู! กูขอเลิกไปแล้วก็เลิกกันไปดิวะ กูขอเลิกพี่มึงดี ๆแล้วพี่มึงยอมจบกับกูปะ!”

“…”

“กูเหี้ยของกูมาตั้งนานแล้วอะ กูได้ขอให้พี่ชายมึงมารักกูเหรอ กูไล่ให้พี่มึงไปตายแล้วมันทำไมวะ มึงคิดว่ากูจะรักคนแบบนี้อ่อ คนที่ตัวเองยังไม่รัก แล้วมาหวังให้กูรัก!”

“มึงมันเหี้ยจินยอง มึงเหี้ย!!”

“เออ กูเหี้ย! แต่มึงจำไว้ด้วยว่าคนเหี้ยอย่างกูนี่แหละที่พี่ชายมึงรัก! และกูก็มีสิทธิ์ของกูที่จะไม่รักพี่มึง หัดจำใส่กะโหลกของมึงไว้ด้วย!”

“…”

“ว่ากูโง่ มึงกับพี่มึงก็โง่เหมือนกันนั่นแหละ โง่ที่มารักคนอย่างกู โง่ที่มาใช้วิธีโง่ๆกับกู มึงคิดว่าแย่งพี่มาร์คไปจากกูได้มันจะทำให้กูคิดฆ่าตัวตายแบบพี่มึงเหรอ? เหอะ กูไม่ใช่พี่ชายที่แสนโง่ของมึงหรอกนะ”

“กูรักพี่มาร์คน่ะใช่เลย รักแบบรักชิบหาย แต่ความรักของกูก็ต้องมาพังลงเพราะพวกมึงสองคนรวมหัวกันหักหลังกู! หักหลังความไว้ใจของกู มึงบอกมึงแค้นที่กูไล่ให้พี่มึงไปตาย แล้วมึงถามพี่มึงยังว่าแค้นกูรึป่าว!”

“มึงก็แค่เด็กอวดดีที่คิดเองเออเองไปทุกเรื่อง สะเออะเข้ามาแส่เรื่องของกูทั้ง ๆที่มึงเองก็ไม่เคยรู้อะไรเลย พี่มึงเคยเล่าเรื่องของกูให้ฟังสักครั้งมั้ยล่ะ ไม่เคยใช่มะ? เขาคงเล่าให้ฟังหรอกมีน้องนิสัยเหี้ยแบบนี้”
“นยองหยุด!!!”

“ไม่หยุด!! ทำไม กลัวน้องรู้ความจริงที่พี่ชายปิดเอาไว้รึไง! ก็บอกไปดิวะว่าที่ไม่บอกเรื่องของผมตอนนั้นเพราะพี่เบื่อที่มันตามจุ้นจ้านเรื่องของพี่อะ ก็บอกไปดิว่าตัวเองก็แค่รำคาญที่น้องชายตามติดจนทำอะไรไม่ได้สักอย่าง”

“มึงรู้บ้างนะว่าพี่มึงก็ไม่ได้เหี้ยน้อยไปกว่ากูหรอก ที่กูไล่ไปตายอะยังไม่ไม่ได้ครึ่งเท่าที่พี่มึงทำเหี้ยใส่กูเลยด้วยซ้ำ!”

“นยอง พี่ขอร้อง หยุดพูดซะ”

“หยุดเหรอ? พี่ขอให้ผมหยุดแล้วทำไมพี่ไม่ขอให้น้องชายพี่หยุดบ้าง”

“พวกมันสองคนรวมหัวกันทำลายชีวิตผม พี่คิดจะช่วยผมบ้างมั้ยพี่บี”

“…”

“…”

“ทั้ง ๆที่ผมเจอคนที่ผมอยากใช้คำว่ารักด้วยแล้ว ผมพยายามทำดีทุกอย่างเพื่อเค้า แต่สุดท้ายมันก็พังเพราะน้องชายพี่ การกระทำของมันเคยมีคนขอให้หยุดบ้างมั้ย ไม่มีใครสักคนสั่งให้มันหยุดเหมือนที่ทุกคนมาสั่งให้ผมหยุด”

“ทั้ง ๆที่ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มอะไรเลย แล้วทำไมผมต้องหยุด ทำไมต้องเป็นผมที่ชีวิตพังอยู่คนเดียว ทำไม!!!”

ผมหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อจินยองแผดเสียงออกมาดังลั่นบ้าน น้ำตาไหลเลอะเปรอะเปื้อนใบหน้าเต็มไปหมด ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงสะใจมันสุดขีดไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมพอถึงตอนนี้ผมถึงสะใจไม่ออก

“มาร์ค มึงพาแบมออกไปก่อน”

“แล้วมึง?”

“กูจัดการจินยองได้ มึงพามันออกไปเถอะ”

“รับมือได้แน่นะ?”

“เออ แค่มึงพาไอ้แบมออกไปก็พอ”

“อือ น้องแบมไปกับพี่นะครับ” ประโยคแรกพี่มาร์คตอบรับคำพี่บี ส่วนประโยคหลังก้มหน้าลงมาพูดกับผมพร้อมพยุงตัวขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

ผมเดินตามพี่มาร์คเข้ามาในห้องนอนอย่างว่าง่าย หัวสมองตื้อตันไปหมด สิ่งที่จินยองพูดมันไหลย้อนไปย้อนมาอยู่ในหัวของผมที่ผมเองก็ไม่เข้าใจสักอย่าง

ผมเคยคิดว่าความคิดของผมมันถูกมาตลอด จนเมื่อไม่กี่นาทีก่อน…

“พี่มาร์ค”

“ครับ”

“ผม…เหมือนคนที่ไม่รู้อะไรสักอย่างเลย”

“คนเราก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องนี่ครับ”

“แต่เรื่องจินยองกับพี่บี…”

“ถ้าให้พี่พูดในฐานะของคนนอก พี่พูดได้นะครับ แต่สิ่งที่พี่จะพูดมันจะทำให้น้องแบมเข้าใจรึเปล่า น้องแบมจะไม่เข้าใจอะไรเลยถ้าน้องแบมยังอคติ”

“แบมอยากฟัง”

“ที่พี่จะพูดคือ เรื่องของสองคนนั้นมันก็เป็นเรื่องที่สองคนนั้นรู้ดีที่สุด เราไม่มีทางรู้ครับว่าในตอนนั้นสิ่งที่เขาสองคนพูดคุยกันคืออะไร เรารู้แค่ที่เขาเล่าออกมาแล้วเราก็เข้าใจของเราไปเองคนเดียว”

“น้องแบมไม่ผิดที่จะโกรธในสิ่งที่จินยองทำ จินยองก็ไม่ผิดในสิ่งที่เขาทำเหมือนกันเพราะเขาก็มีเหตุผลที่เขาคิดว่ามันดีกับตัวเขาแล้ว เราต่างมีเหตุผลที่ดีสำหรับตัวเองทั้งนั้นครับ”

“ตัวพี่เองก็ผิดเหมือนกันที่เป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ พี่ว่าที่จินยองพูดก็มีส่วนที่ถูกนะครับ”

“ยังไง?”

“ที่เขาบอกไงว่าทำไมใคร ๆต้องมาบอกให้เขาหยุด ทำไมไม่เป็นพวกเราเองบ้างที่เป็นฝ่ายหยุด”

“ผมจะหยุดก็ต่อเมื่อชีวิตมันพัง”

“แล้วตอนนี้มันพังพอรึยังครับ? พี่ช่วยให้น้องแบมทำลายชีวิตจินยองมาขนาดนี้แล้วนะ น้องแบมว่าตัวเองควรหยุดได้รึยังครับ”

“…”

“พี่ก็ไม่ใช่คนดีนะครับ พี่ทำเรื่องแย่ๆมาก็เยอะ แต่พี่ว่าเราควรหยุดได้แล้วมั้ย มันแตกหักไปแล้วก็ถือว่าให้มันหักไปดีมั้ย เรื่องต่อจากนี้ก็ให้บีเป็นคนจัดการต่อ”

“หน้าอย่างพี่บีจะไปทำอะไรได้ แค่เดินยังทำไม่ได้เลย”

“น้องแบมไม่คิดบ้างเหรอครับว่าบีมันอาจจะอยากจัดการเรื่องของมันกับจินยองให้จบก็ได้ จบแบบที่มันควรจะจบกันแค่สองคน”

“พี่บียังรักมัน”

“ก็ถ้ามันรัก มันก็คือรักไม่ใช่เหรอครับ?”

“…”

“แล้วน้องแบมอย่าลืมนะครับว่าเรามีนัดกัน ยังมีคนที่รอน้องแบมอยู่นะครับ”

“มันจะดูง่ายไปมั้ยถ้าผมบอกว่ายอม”

“ไม่ง่ายหรอกครับ เพราะพี่รู้ว่ากว่าจะทำใจยอมรับได้มันยาก”

“อื้อ ก็ยากจริง ๆ”

“งั้นเรื่องของจินยอง เราพอกันแค่นี้นะครับ”

“อื้อ ผมยอมแล้ว”

ผมไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงยอมรับคำพี่มาร์คง่ายนัก หรือจริง ๆแล้วผมไม่เคยรู้อะไรเลยจริง ๆก็ได้ เรื่องที่ผมได้รู้มันก็เป็นเรื่องเพียงด้านเดียว ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเรื่องที่พี่บีกับจินยองที่รู้กันแค่สองคน มันไม่ยุติธรรมเลย แต่ผมจะหาความยุติธรรมให้ใครล่ะ ผมอยากจะดื้อรั้นต่อไปอีกสักหน่อยนะ อยากเห็นจินยองมันชีวิตพังไปมากกว่านี้ แต่คำพูดของมันที่ยังอยู่ในหัวก็รั้งผมเอาไว้ ผมอยากอคติกับมันต่อไป ไม่อยากยอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ แต่ผมก็รู้ดีในสิ่งที่พี่มาร์คพูด การเป็นคนนอกของเขาทำให้ผมคิดได้จริง ๆนั่นแหละ ผมก็ได้แต่หวังว่าสักวันผมจะได้รู้เรื่องราวอีกด้านหนึ่งของสองคนนั้น

1 ความคิดเห็น:

  1. How to win at an online casino site? | Lucky Club
    Here's a guide to all the important things that need to be considered when choosing an online casino. Lucky Club helps you What is the best 카지노사이트luckclub online casino to play?How do you win at an online casino?

    ตอบลบ